เผยจุดยืน “ แม่ทัพภาค 1” ในสงครามปราบกบฏแดง ไพ่บอดแต้มบนมือศอฉ.!?
วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
เจาะสถานการณ์ พฤษภาทมิฬ 53
มีคำถามกันมากถึงสาเหตุที่ทำให้การประกาศเคอฟิวที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16พ.ค.เปิดทางผ่านรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” สะดุดราวกับถูกติดดีสเบรค
ทั้งที่ หากพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ สิ่งที่ อภิสิทธิ์ พูด มิใช่การใช้อำนาจฝ่ายบริหารไปบีบบังคับให้ทหารต้องปฏิบัติ แต่จากเนื้อหาคำพูดสะท้อนว่าต้องมีการหารือกันมาแล้วในระดับหนึ่ง จนตกผลึกแล้ว จึงได้ออกมากล่าวต่อสาธารณะ
“ การป้องกันไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ การประกาศเคอฟิวจะเป็นมาตรการหนึ่งในการดูแล ซึ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะประชุมร่วมกับ ศอฉ.ในช่วงสายวันนี้ เพื่อพิจารณาว่าจะมีการประกาศมาตรการนี้หรือไม่”
ข่าววงในระบุว่า ก่อนที่ อภิสิทธิ์ จะพูดผ่านรายการนี้ ได้เสนอแนวคิดถึงการใช้มาตรการเคอฟิวมาคลี่คลายสถานการณ์ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. โดยในวงสนทนา ประกอบด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาค 1 พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก ฯลฯ
มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนถึงผลดี ผลเสียกันอย่างกว้างขวาง จบท้ายที่ นายกรัฐมนตรี ฝากให้ทหารซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติไปพิจารณาว่า เป็นมาตรการที่เหมาะสมหรือไม่
เป็นข้อเสนอก่อนที่ทหารจะเข้ากระชับวงล้อมอย่างเข้มข้นรอบบริเวณพื้นที่ราชประสงค์ จนเกิดเหตุก่อการร้ายแดงบุกเข้าโจมตีด่านของทหารนับตั้งแต่ช่วงวันที่ 14 พ.ค. เป็นต้นมา
กระทั่งมาถึงเช้าของวันที่ 16 พ.ค. วงสนทนาเกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้นำเหล่าทัพตกผลึกเห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีว่า ถึงเวลาแล้วที่จะใช้มาตรการนี้ จึงเป็นที่มาของการพูดถึงมาตรการเคอฟิวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์
จากนั้น พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ออกมาแถลงย้ำอีกครั้ง ถึงการประกาศเคอฟิวคงเหลือแค่การกำหนดพื้นที่ให้ชัดเจนว่า จะประกาศในจุดใดบ้างเท่านั้น พร้อมกับระบุว่าจะมีการแถลงอีกครั้งในช่วงบ่าย
เหตุการณ์มาพลิกผันเมื่อ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ทะลุกลางปล้องต่อหน้า นายกรัฐมนตรี ผบ.ทบ. รมว.กลาโหม สุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา และ ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศธ. โดยอ้างว่า
ในฐานะเป็นผู้บังคับหน่วยได้สอบถามเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติแล้ว ไม่มีใครต้องการให้ประกาศเคอฟิว เพราะเห็นว่าจะกระทบกับการใช้ชีวิตของประชาชนโดยรวม และไม่ได้มีส่วนช่วยมากนักในการควบคุมสถานการณ์
ข่าววงในระบุว่า คำพูดดังกล่าวของ พล.ท.คณิต ทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับอึ้ง เพราะคาดไม่ถึงว่า พล.ท.คณิต จะเสนอแนวทางเช่นนั้น หลังจากที่มีการพูดคุยกันมาแล้วหลายครั้ง กระทั่งนายกฯอภิสิทธิ์กล่าวขึ้นมาว่า
“มาตรการเคอฟิวเป็นเรื่องที่ระดับปฏิบัติจะทราบดีที่สุดว่าควรจะนำมาใช้หรือไม่ เมื่อเห็นว่ายังไม่เหมาะสม ท่านต้องเป็นคนไปอธิบายต่อสังคมว่ามีเหตุผลอะไร อย่าให้มีการบิดเบือนว่านโยบายของฝ่ายการเมืองไปห้ามพวกท่าน ไปห้ามทหารไม่ให้มีกลไกหรือเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงาน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมันไม่เป็นธรรมและไม่เป็นความจริง”
ว่ากันว่า เจอเข้าดอกนี้ พล.ท.คณิต ถึงกับหน้าถอดสี
ที่สำคัญคือ หลังสถานการณ์นั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่ยอมชี้แจงต่อสาธารณชน ส่ง พล.ท.อักษรา เกิดผล ผู้ช่วยเสธ.ทบ.ฝ่ายยุทธการ มารับหน้าเสื่อแถลงผ่านทีวีพูลแทน
อีกเหตุการณ์ที่น่าสนใจ คือ ในวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ พล.ต.อุทิศ สุนทร ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 พล.ต.สุรศักดิ์ บุญศิริ ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษก ศอฉ. ร่วมกันชี้แจงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจในการควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณแยกราชประสงค์นั้น
ระหว่างการชี้แจงเหตุการณ์ของ พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งกำลังอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงคืนวันที่ 14 พ.ค. ปรากฏภาพผ่านทีวีพูลว่า พล.ต.กัมปนาท เหลือบมองไปทางด้านซ้ายมือ ซึ่งมี พล.ท.คณิต นั่งขนาบอยู่ และเกิดอาการละล้าละลังขึ้นชั่วครู่ ก่อนจะสรุปจบคำอธิบายไป เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ยังพูดไม่จบเพราะถูกสะกิดห้าม
มีคำอธิบายเรื่องนี้เป็นการภายในว่า ในขณะนั้น พล.ต.กัมปนาท ตั้งใจจะเล่าเหตุการณ์จริงว่า คืนวันที่ 14 พ.ค. มีกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธประมาณ 10 คน ใช้ยุทธวิธีแบบทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ด้วยการหมอบราบกับพื้นแล้วคืบเข้าหาด่านทหารพร้อมอาวุธสงคราม ทำให้ทหารประจำการในขณะนั้นยิงปืนขู่ไปแต่กลับมิอาจหยุดยั้งได้ โดยกลุ่มก่อการร้ายดังกล่าวยังคงเคลื่อนตัวเข้าหาเพื่อโจมตีฝ่ายทหาร จึงมีความจำเป็นที่ทหารต้องยิงสกัดเพื่อยับยั้งการกระทำที่ประสงค์ต่อชีวิตของทหารดังกล่าว และก็ได้ผลกลุ่มก่อการร้ายถอยร่นกลับออกไป
ไม่มีใครรู้เหตุผลว่า ทำไม...จึงห้าม ไม่ให้ พล.ต.กัมปนาท พูดความจริงต่อประชาชน
หากวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของ พล.ท.คณิต จะเห็นว่ามีหลายอย่างที่น่าตั้งข้อสงสัย เพราะในขณะที่หลายคนฝากความหวังให้เขาช่วยกอบกู้บ้านเมือง จนออกมาเสนอให้เขาประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ราชประสงค์ เพื่อคืนความสงบให้กับประเทศ
แต่เขากลับไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย อ้างว่าฝ่ายการเมืองยับยั้ง ทั้งที่ในข้อเท็จจริงเป็นอำนาจเต็มของแม่ทัพภาค 1 ที่จะประกาศใช้กฎอัยการศึกได้
และก่อนที่สถานการณ์จะเดินมาถึงจุดนี้ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ 10 เมษาวิปโยค ก็มีการพูดคุยกันหลายครั้งว่า จำเป็นต้องออกมาตรการใดเพิ่มเติมเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วหรือไม่ ซึ่งบรรดาผู้นำเหล่าทัพรับทราบดีว่า อภิสิทธิ์ ไม่เคยยับยั้ง ตรงกันข้ามเขาพร้อมที่จะให้ทหารเข้ามามีบทบาทจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มตัว
แต่คนที่ไม่กล้าทำ และลอยตัวเองอยู่เหนือปัญหาในวันนี้ คือใคร ถึงตรงนี้คงไม่ต้องประจาน
ความชัดเจนในพฤติกรรมชี้ให้เห็นว่า ถ้าวันนี้ ใครไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบต่อภารกิจปกป้องบ้านเมืองจากผู้ก่อการร้ายแดง ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ถ้าฟันเฟืองตัวหนึ่งตัวใดสะดุด รังแต่จะทำให้การขับเคลื่อนทั้งระบบต้องได้รับผลกระทบจนเสียกระบวนทัพไปด้วย เป็นหน้าที่ของ ผบ.ทบ.ต้องพิจารณาให้ชัด เลือกคนให้ถูกไปทำหน้าที่แม่ทัพแทน
เพราะไม่เพียง ใครบางคนจะไม่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลัง ทั้งที่พื้นที่ก่อการร้ายอยู่ในความรับผิดชอบของเขาโดยตรงเท่านั้น แต่ยังมีความพยายามปล่อยข่าวให้เกิดความเข้าใจผิดต่อฝ่ายการเมือง และทำให้ นายทหารบางคนเป็นแพะรับบาปในสถานการณ์นี้ด้วย
เป็นความจริงที่ว่าในเบื้องต้น พล.อ.อนุพงษ์ ละล้าละลังไม่กล้าดำเนินการใด ๆ ในการปกป้องชาติบ้านเมืองจากภัยคุกคามด้านความมั่นคง เนื่องจากอยากประคองตัวเองรอวันเกษียณในเดือนกันยายน แต่เมื่อสถานการณ์งวดเข้ามาประกอบกับสังคม เรียกร้อง กดดัน ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ เริ่มขยับกลับเข้าสู่การเป็นทหารอาชีพ โดยจะเห็นได้จากการเดินหน้าของกองทัพเป็นไปอย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
กองทัพต้องเป็นหลักให้กับบ้านเมือง ทำหน้าที่รักษารัฐไทย ไม่ใช่รัฐบาล
เพราะหากมัวแต่นั่งกลัวความสูญเสียวันนี้ โดยไม่แยกแยะให้ชัดเจนว่าสาเหตุแห่งความสูญเสียมาจาก ทักษิณ ชินวัตร ที่วางแผนอย่างเป็นระบบจากต่างประเทศ นำคนไทยเข้าสู่กับดักของความรุนแรง
เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ ด้วยการชักศึกเข้าบ้าน ให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทยด้วยการสร้างสงครามกลางเมือง เพื่อให้นานาชาติยอมรับเขาในฐานะผู้นำมวลชนที่มีอำนาจรัฐซ้อนอำนาจรัฐไทยอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะทำให้เขากลับประเทศไทยได้โดยเร็วและไม่จำเป็นต้องก้าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของไทย เพราะระบบทุกอย่างในบ้านเมืองได้ถูกฉีกทิ้งไปหมดแล้ว โดยมีแผนให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงประเทศไทยในฐานะ “รัฐล้มเหลว”
ผู้นำเหล่าทัพต้องอย่าละล้าละลัง หรือกลัวความสูญเสีย เพราะการต่อสู้ในวันนี้มีชาติบ้านเมืองและสิ่งที่คนไทยทั้งชาติหวงแหน คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเดิมพัน
อภิสิทธิ์ และ กองทัพไทย ไม่มีสิทธิ์ล้มเลิก หรือ ล้มเหลวในภารกิจนี้
ขณะเดียวกันสังคมต้องร่วมกันแสดงออกให้กองทัพเห็นชัดเจนว่า มีแต่การเดินหน้าปกป้องบ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวเท่านั้นจึงจะนำชาติผ่านพ้นวิกฤติร้ายแรงครั้งนี้ไปได้
อย่าปล่อยให้ อภิสิทธิ์ และกองทัพ โดดเดี่ยว ท่ามกลางการบิดเบือนข่าวสารที่พยายามทำให้รัฐบาล และทหารตกเป็นจำเลยสั่งฆ่าประชาชน เราต้องให้กำลังใจส่งเสียงดัง ๆ สนับสนุนให้รัฐบาลและกองทัพทำในสิ่งที่ถูกต้อง ปกป้องชาติ บ้านเมืองต่อไป
สังคมไทยและรัฐไทยต้องเป็นหลักซึ่งกันและกัน เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า คนไทยจะไม่ยอมให้มีการล้มรัฐไทยเพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ ตามแผนชั่วของ ทักษิณ ชินวัตร
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น