ผู้ติดตาม

ค้นหาบล็อกนี้

กบฏที่กำลังเป็น "ปลาปากแห" ให้ทหาร

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กรุงเทพฯ ประกาศเป็นสัปดาห์ "หยุดงาน-กวาดกบฏ" ตั้งแต่จันทร์ที่ ๑๗ พ.ค.-อาทิตย์ที่ ๒๓ พ.ค.๕๓ ถ้าถามว่า "แน่นะ...จันทร์ที่ ๒๔ พ.ค. ชีพจรเมืองจะเดินปกติ?" ผมก็ว่า ถึงวันนั้น "น่าจะปกติ" แต่ถ้ายัง...แสดงว่าต้องมี "ปาฏิหาริย์เหนือวิกฤติ" เกิดขึ้น แต่ไม่ต้องไปสนใจเรื่องปาฏิหาริย์ ที่ควรสนใจคือ จากจันทร์หน้าเป็นต้นไป เราจะไม่เห็น "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" อีก แต่จะเห็น "การทหารและการเมือง" นำบ้านเมืองออกจากฝันร้ายด้วย "โครงสร้างใหม่ๆ" ร่วมกันในระบบรัฐสภา
และนั่นคืออะไร...ผมก็ไม่ทราบ เพียงแต่ "ภาวะเหนือความเข้าใจ" บางอย่าง...กระซิบบอก!?
เมื่อพฤษภาคม ๒๕๓๕ คือเมื่อ ๑๘ ปีที่แล้ว เราเกิด "พฤษภาทมิฬ"
และวันนี้ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตัวเลขเดียวกัน แต่กลับกันจาก ๓๕ มาเป็น ๕๓ เราเกิด "พฤษภา-มหานรก" ถ้ามองในมุมรหัสดาว ก็ไม่น่าแปลกใจตามวงรอบดาวเสาร์ ซึ่งคุยกันไปแล้วว่า เสาร์รอบนี้เป็น "เสาร์รอบเช็กบิล" ใครทำดี ชีวิตอยู่ในศีล-ในธรรม ก็ถึงคราวชีวิตนำสุขมาสู่อันไม่เคยประสบเช่นนี้มาก่อน
แต่ถ้าใครทำชั่ว ชีวิตเกลือกกลั้วอยู่กับความเลวร้าย ก็ถึงคราววิบัติ ฉิบหาย-ตายจาก พรัดพราก ราพณาสูร วงจรชีวิตจะมีแต่โศกาอาดูร สิ่งที่เพิ่มพูนคือทุกข์ถมทุกข์!
ขณะนี้ รัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพ เขาก็คือตัวแทน "ดาวเสาร์" มาทำหน้าที่เช็กบิล "มนุษย์บุญ-มนุษย์บาป" ไม่มีความหมายอะไรที่พวกกบฏแผ่นดิน ปากก็ตะโกนว่า "รัฐบาล-ทหารฆ่าประชาชน"
แต่มือพวกมัน...ฆ่าทหาร-เผาเมือง พยายามล้มสถาบัน เปลี่ยนระบอบ กระทำทารุณ โหดร้าย ป่าเถื่อน กับพี่น้องประชาชนร่วมชาติอันไม่เคยปรากฏว่ามนุษย์เมืองไหนจะทำกับบ้านเมืองตัวเองอย่างที่ "กบฏทักษิณ" กำลังทำ!
รัฐบาล-ทหาร ไม่ได้ฆ่าประชาชน.....
แต่ฆ่าผู้ก่อการร้ายที่ทำลายเมือง เป็นการพิทักษ์ชาติ-ประชาชน!
ฝ่ายกบฏก่อการร้ายจะยอมเจรจา หรือไม่ยอมก็ตาม เมื่อมาถึงจุดนี้ คือจุดที่ "ไม่มีใครแพ้-ชนะ" เพราะแพ้ด้วยกันทั้งประเทศอยู่แล้ว รัฐบาล-ทหาร จะอ่อนข้อ-รามือเปิดโอกาสให้สัตว์ป่าเลียแผลไม่ได้ เพราะเห็นมาตลอดแล้วว่า "สัจจะไม่มีในหมู่โจร" เจรจากับโจรก็เจรจาไป แต่ฝ่ายรัฐต้องเป็นฝ่าย "หยัดอยู่-ชูกฎหมาย"
ไม่ใช่ให้โจรมาต่อรองนอกกรอบกฎหมาย ซึ่งจะทำให้อีกหลายกลุ่ม-หลายพวกในขบวนการยกเป็นเงื่อนไขมาต่อรองบ้างในโอกาสต่อไป และนั่นก็จะทำให้คำว่า "๒ มาตรฐาน" ถูกโจรไร้ยางอายเวียนนำมาใช้ยามไม่ได้อย่างใจอีก!
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.มาทำหน้าที่ตัวกลางในการเจรจาหาทางสงบศึกระหว่างกบฏกับรัฐบาล ไหนๆ ก็ทำดี เป็นสัญลักษณ์แห่งประสานสามัคคีอยู่แล้ว แต่ทำไมแม่ปูต้องแยก-แตกสามัคคีเป็นกลุ่ม ๖๔ ส.ว.บ้าง กลุ่ม ๔๐ ส.ว.บ้าง ไปทำหน้าที่ตัวกลาง กลุ่มใคร-กลุ่มมัน
เห็นแล้ว วุฒิภาวะแห่งวุฒิฯ จะมีตำหนิไปหน่อยนะครับ!
ในการปราบกบฏที่มีกองกำลังก่อการร้ายเป็นหน่วยรบนั้น ก็ชัดแล้วว่า "หัวหน้าผู้ก่อการร้าย" อยู่นอกประเทศ ขณะนี้อยู่กันพร้อมหน้าทั้งพ่อ-แม่-ลูก ช็อปปิ้งกันเพลินที่ฝรั่งเศส แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ผมอยากจะบอก ที่อยากจะบอกคือ ยุทธการปราบกบฏครั้งนี้
ต้องใช้ระบบ "สื่อสารสังคม" ให้มาก!
โจรอยู่เรือนพุธ โจรก็ปากเก่ง แต่พุธถึงอาทิตย์ถึงพฤหัสฯ สู้ปากรัฐบาลไม่ได้ เพราะเป็นปาก "สีผึ้งเสก" ฉะนั้น พูดอะไร สังคมจะให้น้ำหนักในการเชื่อถือมากกว่า เพราะฉะนั้น การจะให้ชนะศึกทั้งในสนาม และทั้งในสนามสังคมโลก ศอฉ.จะต้องเป็นมิตรกับสื่อ และใช้การสื่อสาร "ออกข่าว-ออกจอ" เป็นประจำ
ดาวพุธของหัวหน้าโจรก่อการร้ายเสีย แต่ดาวพุธในดวงเมืองขณะนี้ รัฐบาล-ทหารกำลังดีวัน-ดีคืน และผมเชื่อว่า เสร็จศึกสนามแล้ว ต่อไปฝ่ายกบฏจะเปิดศึกทางมวลชนผ่านระบบสื่อ ฟ้องโน่น-ฟ้องนี่ ทั้งใน-นอกประเทศ โดยบิดเบือนทั้งเอกสาร ทั้งภาพ ให้ปรากฏว่า "รัฐบาล-ทหาร ฆ่าประชาชน"
พยานบุคคลที่เป็น "คนกลาง" สำหรับใช้อ้างอิงว่า "ใครพูดตรง-ใครพูดบิด" ได้ดีที่สุดคือ สื่อมวลชนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น นักข่าว-ช่างภาพ-ช่างกล้อง ที่ติดตามอยู่ในแต่ละเหตุการณ์ใกล้ชิดตลอด และนั่น ฝ่าย ศอฉ.ซึ่งปฏิบัติการเปิดเผยท่ามกลางการจับตาของสื่อมวลชน น่าจะรวบรวมรายชื่อ สังกัด สถานที่ติดต่อ ของสื่อมวลชนนั้นไว้ทั้งหมดในฐานะ "สื่อร่วมศึก"
เพราะสื่อมวลชน "คนกลาง" นี่แหละ เมื่อถึงคราวชี้ขาด สามารถบอกได้จากเหตุการณ์ที่ "เห็นด้วยตา" ตัวเองว่า อะไรใช่...อะไรไม่ใช่!
ผมสังเกตว่าพวกกบฏเขารู้ และฉลาดในการยืมมือสื่อสร้างความชอบธรรม ฉะนั้น บางอ่านอาจสงสัยว่าตอนกลางวันโล่งๆ ทำไมกองกำลังกบฏทักษิณจึงเผยตัวให้เห็นตอนยิงหนังสติ๊กบ้าง ตอนเข็นยางมาเผาบ้าง ตอนจุดพลุ-จุดตะไลบ้าง ที่ว่าอาวุธร้ายแรงก็แค่ทำระเบิดขวดให้นักข่าว-ช่างภาพบันทึกเป็นภาพไปเผยแพร่
ไม่เห็นมี "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" มือระเบิดเอ็ม ๗๙ มือเอ็ม ๑๖ มือดักสังหาร มือแม่นปืน อย่างที่พูดกันแต่อย่างใด?
นี่ไง...ที่ผมว่ายุทธศาสตร์ทางสื่อที่พวกกบฏใช้ พวกกบฏจงใจแอคชั่น "ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ" มีเพียงหนังสติ๊กเป็นพื้นสู้กับฝ่ายทหารปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ ตามหน้าจอโทรทัศน์ ตามบรรทัดข่าวที่นักข่าวรายงานออกไป เพื่อสนับสนุนการปลิ้นปล้อนบนเวทีของแกนนำที่ว่า
ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ-ไม่มีใครตาย, แต่ทหารมีปืน-ประชาชนตาย!
แต่พอมืดค่ำ มันดับไฟหมด เอาล่ะตานี้ มือระเบิด มือซุ่มยิง มือปืน เรียกว่าสารพัดอาวุธสงคราม โจรก่อการร้ายฝ่ายกบฏมันขนออกมาเป็น "มือฆ่ามุมตึก" ทั้งยิงใส่ ทั้งปาระเบิด ทั้งเผา เรียกว่าฆ่าไม่เลือกหน้า พวกทหาร หรือพวกชาวบ้าน "ขอให้ตาย" ถือว่าสะใจกูแล้ว
นั่นคือ ผู้บาดเจ็บและตาย ส่วนหนึ่งมาจาก "มือฆ่ามุมตึก" อันยากที่ช่างภาพ-ช่างกล้องจะจับภาพมาให้เห็นชัดๆ เหมือน "ยิงหนังสติ๊ก" ตอนกลางวันได้ แต่ในข้อเท็จจริงอันเป็นที่ประจักษ์ นักข่าวในภาคสนาม รับรู้ได้ด้วยตา ด้วยวิญญาณนักข่าวถึง "มือฆ่า" ที่อยู่ข้างหลังของมือหนังสติ๊ก!
สมมุติว่ารัฐบาล-ทหารกระหายเลือด จงใจฆ่าคนเผาบ้าน-ทำลายเมืองจริงๆ แล้ว ๗ วัน มีคนตาย ๓๖ คน บาดเจ็บกว่า ๒๐๐ คน ต้องไล่ออกทั้งกองทัพ เพราะแสดงว่าฝีมือและสมรรถภาพห่วยมาก แต่ในข้อเท็จจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ที่ตาย-เจ็บแค่นั้น เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะแสดงชัดว่า
ทหาร-หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ-ล้มตายจนถึงที่สุดแล้ว!
มิคสัญญีเมืองขนาดนี้ รัฐบาล-ทหาร ถนอมชีวิตคนเผาเมืองได้มากกว่าที่คาดว่าน่าจะสูญเสีย เราควรจะมองมุมนี้มากกว่าไปเพ่งเล็งในมุมลบ ถ้าจะเพ่งเล็ง ต้องไปดูเหตุการณ์ที่ตากใบ และที่กรือเซะ ทักษิณสั่งฆ่าทีเดียวร่วมร้อยศพ นั่นเป็นตัวเลขสูญเสียที่ประชาชนเห็นว่า...
ไม่มีเหตุผลที่ต้องสูญเสียเลย!
หรืออย่างสงกรานต์ที นั่งนับศพกันได้ปีละ ๓๐๐-๔๐๐ ศพ ภายใน ๗ วัน ปีแล้ว-ปีเล่า "ตายนับร้อยทุกปี" แล้วตัวเลขมากมายขนาดนี้มีใครนำความสูญเสียรายปีมาเป็นต้นทุนแก้โจทย์บ้าง?
ฉะนั้น ตัวเลขไม่ใช่คำตอบของคำว่า..ใช่-ไม่ใช่ แต่ตัวเลขนั้นต้องดูว่า "สะท้อนถึงเหตุผล" เช่นใด!?
ผมก็อนุโมทนาที่วุฒิสมาชิกส่วนหนึ่งเป็น "ตัวตั้ง-ตัวตี" ประสานสงบศึก ความจริง แค่แกนนำสั่งสลายการชุมนุมทุกอย่างก็จบ ไม่ต้องไปเกี่ยงงอนให้ทหารเขาหยุดยิง หรือถอนกลับที่ตั้ง
เพราะปกติทหารเขาก็ไม่ยิงใครอยู่แล้ว ผิดกับพวกกบฏที่บ้าคลั่ง ดิบ-เถื่อน-โหด ทำร้ายประเทศ ทำลายชีวิตสังคมประชาชาติทั้งเมือง เผายาง-ปิดถนน-ค้นรถ-ค้นโรงพยาบาล-ฆ่ากระทั่งคนกาชาด-ปล้นสะดมร้านค้า-ทุบตู้เอทีเอ็ม ฯลฯ
นี่มันพฤติกรรมโจรก่อการร้าย "ปล้นบ้าน-เผาเมือง-ฆ่าประชาชน" มีโทษตาย-โทษตลอดชีวิตเกือบทั้งนั้น แล้วยังจะมีหน้าไปต่อรองให้รัฐบาล-ทหารเขา "หยุดทำหน้าที่" พิทักษ์บ้าน-ปกปักประชาชนอีกหรือ?
"สะพานข้ามเหวนรก" ที่ ส.ว.ทอดให้นั้น เป็นทางสุดท้ายแล้ว ถ้าบรรดา "กบฏฮาร์ดคอร์" ทั้งหลายยังไม่ยึดไว้เป็น "ทางหนีตาย" ผมเกรงว่าจะตายเอาจริงๆ เพราะจะเห็นว่า "รัฐบาล-ทหาร" ถอดเกียร์ถอยหลังทิ้งไปแล้ว พวกคุณมัน "โจรไม่มีสัจจะ" พูดจาเชื่อถือไม่ได้ ฉะนั้น ครั้งนี้กบฏต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
กบฏ-เสียมวลชน.....
แล้วมีหรือ "รัฐบาล-ทหาร" จะอ่อนข้อ "จากได้" ให้กลายเป็นเสีย!

Read more...

"การทหาร-ทหารเมือง" ต้องนำบ้านเมืองอีกครั้ง?( เปลว สีเงิน )

อืมมมม...หยุดไปนอน "กระชับพื้นที่" เมื่อวันเสาร์มา ๑ วัน ก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิม เคอร์ฟิวยังมีต่อนะครับ เมื่อคืนและคืนนี้ (๒๔ พ.ค.๕๓) แต่เป็นมินิ-เคอร์ฟิว คือร่นเวลาออกไปเป็นตั้งแต่ ๕ ทุ่ม ถึงตี ๔ ต่อจากนี้ คงไม่ต้องนอนผวากันมากนัก เพราะ ศอฉ.จัดกำลังตั้งด่านตรวจตามจุดใหญ่ๆ พร้อมทั้งส่ง "สารวัตรทหาร" ตระเวนเป็น "นายตรวจพระนคร" ทั้งชั้นใน และปริมณฑล ส่วนเคอร์ฟิวจะต่อหรือจบกันแค่นั้น คงต้องรอดูสถานการณ์เป็นวันๆ ไป!
อีกเรื่องที่ควรทราบ ศอฉ.จะย้ายกองบัญชาการใหญ่ จากราบ ๑๑ รอ.บางเขน มาอยู่ที่ "กองบัญชาการกองทัพบก" ถนนราชดำเนิน ตั้งแต่วันจันทร์นี้แล้ว และใครที่เป็นแฟน "พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด" ไม่ต้องกลัวว่า "ผู้ก่อการรัก" ท่านนี้จะหายหน้าไปกระชับพื้นที่ที่อื่น ยังคงอยู่ให้ท่านตามกระชับสายตา สลับกับ "โฆษกหน้าตาย" ดร.ปณิธาน วัฒนายากรทางหน้าจอ "รวมการเฉพาะกิจ" เหมือนเดิม
ชมรมจิตอาสา ชาว FB นี่นอกจากน่ารักแล้ว ยังทำหน้าที่ "แกนสังคมคนรุ่นใหม่" ได้อย่างมีความหมายมาก เมื่อวันอาทิตย์ ทาง กทม.ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ท่านจัด บิ๊ก คลีนนิ่ง เดย์ ขึ้น คือระดมเจ้าหน้าที่ กทม.มาล้างคราบเสนียดเมือง
กับซากบัดซบที่ "กบฏทักษิณ" มนุษย์ทรามทิ้งไว้ให้ ลำพัง กทม.ทำได้ แต่คงต้องใช้เวลานานหลายวัน แต่ปรากฏว่า ในความสูญเสียร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศนี้ มีพี่น้องร่วมชาติพกความเจ็บปวดที่ต้อง "เอาชนะร่วมกัน" รวมทั้งชมรมจิตอาสา และหนุ่ม-สาวชาว FB ได้นัดแนะรวมใจกันออกมาเป็น "มหาประชาสังคม"
"เช็ดคราบน้ำตา" ให้เมืองกรุง!
ชาติบ้านเมืองเราคือ "มรดกบรรพบุรุษ" ที่พินัยกรรมระบุไว้ คนไทยทุกคนคือผู้ได้รับผลประโยชน์ เมื่อเห็นหนุ่ม-สาว "คนรุ่นใหม่" ยามมีภัยมา กลับรวมตัว รวมใจสามัคคีทำหน้าที่ ทั้งต่อต้าน ยอมสละทั้งสุข และทั้งชีวิตตัวเองด้วยความหมาย "ถึงตัวไม่อยู่-ชาติต้องอยู่" เช่นนี้
เห็นที "เฒ่าสยาม" ทั้งหลาย คงตายตาหลับ!
หนุ่มสาว-เฒ่าแก่ทั้งหลายเอ๋ย...จงมองข้างหน้า อย่าอาลัยหลังจนเกินเหตุ จงใช้สิ่งที่เสียเป็นพลังกระตุ้นจิตรัก จิตอภัยให้กัน สร้าง "สังคมใหม่" ด้วยบทเรียนอภัยจากใจนั้น ผมสังเกตว่า พวกเราทั้งหลายขณะนี้ พกความคับแค้น ขึ้งเครียด เอาไว้มาก ซึ่งผมเข้าใจ และผมก็ไม่ต่างไปจากท่าน แต่ผมอยากให้ความคิดไว้อย่างหนึ่งว่า
สำหรับสิ่งที่ "ตัดไม่ตาย-ขายไม่ขาด" ยังไงๆ ก็ต้องอยู่ "ร่วมชาติ-ร่วมแผ่นดิน" เราก็ต้อง "ตัดแค้น-ตัดอาฆาต" พลิกจากศัตรูให้มาอยู่ฉันมิตร-ฉันญาติ
เหมือนกติกาในวงนักเลง คนไหนที่ฆ่าไม่ได้ ก็ต้องผูกใจไว้เป็นพวก!
กับงาน "สร้างสังคมใหม่" ซึ่งเป็นงานใหญ่ ใครฝ่ายเดียว จะกองทัพ หรือรัฐบาลโดยลำพังก็สร้างไม่ได้ จะต้อง "มหาประชาสังคม" เท่านั้น
และมหาประชาสังคมวันนี้ พวกท่าน...หนุ่ม-สาว ในความหมาย "คนรุ่นใหม่" เท่านั้น จะให้ไฟ ให้พลัง ให้ความหวังกับประเทศชาติผ่าน "สังคมใหม่" ได้สำเร็จ
และเคล็ดลับสู่ความสำเร็จคือ "งานใหญ่-อย่าหยุมหยิมกับเรื่องย่อย"!
ไม่เช่นนั้น ความหยุมหยิมกับเรื่องย่อยจะทำให้เหมือนมดติดก้อนน้ำตาล เดินไม่ผ่านทะลุไปถึงแหล่งผลิต!!!
กะแค่ตำรวจเอาตัวหัวโจกขบวนการก่อการร้าย "กบฏทักษิณ" ไปควบคุม โดยปล่อยงับโอโซนชายทะเลอยู่ในบ้านพักค่ายนเรศวร แค่ท้วงติงว่า "ประชาชนจับตาท่านตลอดเวลานะ...คุณตำรวจ" แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องจิกกัดต่อเนื่องยาวนาน หันไปเพ่งเล็งงานใหญ่ดีกว่าว่า เมื่อ ๑...ผ่านไป
อภิสิทธิ์-กองทัพ จะผ่าน ๒-๓-๔-๕ ไปจนถึงจุดศานติสุขแห่งชาติ คือ ๑๐ ด้วยรูปแบบไหน วิธีการไหน ในเมื่อ "ปัญหาสังคมชาติ" อันเป็นโจทย์วันนี้ มันเป็นปัญหาใหม่-โจทย์ใหม่ ที่จะใช้เครื่องมือ และกลไกกฎหมาย-การบริหารแบบเดิมๆ ที่ผ่านมา อันเป็น "ภาวะปกติ" ไม่ได้แล้ว!
ตำรวจนั้น ถึงแม้มหาประชาสังคมวันนี้จะบอกว่า "ขอได้รับความเกลียดชังจากประชาชนด้วยจริงใจ" เพราะประจักษ์ชัดแล้วว่า ที่ผ่านมา ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด นอกจากเป็นที่พึ่ง และทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ให้ชาวบ้านไม่ได้ยามมีภัย ตรงกันข้าม ตำรวจบางส่วนนั่นแหละ
ทำหน้าที่ เป็นทั้งสาย-ทั้งเป็นใจ ให้โจร "ปล้นบ้าน-เผาเมือง"!?
แต่ก็เห็นใจเขาเถอะ เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นโดยสันดาน และไม่มีเจตนาถึงขั้น "เปลี่ยนระบอบ-ล้มสถาบัน" เพียงแต่ สิ่งที่เขาเคยได้กิน-ได้อยู่ และได้เอาอำนาจไปฉีกเนื้อกิน ในสมัยทักษิณ "โกงแผ่นดิน" แล้วเจียดเป็นงบฯ มาแจกจ่ายจากเงินหวยบนดิน ๒ ตัว ๓ ตัวให้นั้น
เมื่อสิ้นทักษิณ ไม่มีเงินบาปจากการปล้นคน-ปล้นแผ่นดินมาแจกจ่าย ตำรวจระดับล่างๆ ซึ่งใช้ตำแหน่งหากินได้ไม่มากเท่าระดับใหญ่ๆ รวมถึงครอบครัว จึงเกิดปฏิกิริยาเหมือนคนทั่วไป อะไรที่เคยได้ เมื่อไม่ได้ มันก็ต้องเล่นบท "ตะกายฝา" โหยหาแต่...ทักษิณ...ทักษิณ ...คนโกงแผ่นดิน
แล้วเอาส่วนขี้มายีหัวบางตำรวจให้หลง!
ตำรวจนั้น เราตัดไม่ตาย-ขายไม่ขาด ฉะนั้น ต้องมองเขาด้วยความเข้าใจ เหมือนพี่น้องปลายรากบางส่วน คาถาแก้การโกรธเป็นนิสัย คือการให้เมตตา คาถาแก้คนหลงผิด คือการให้อภัย....นี่คือ "กฎใจ-คุณธรรม"
แต่ถ้าอภัยแล้วยังดีไม่ได้ และไม่สำนึก
ถึงขั้นตาย......
"ตาย...ก็ต้องให้ตาย"!
จะไปปรองดองกับโจรก่อการร้าย ร้ายถึงขั้น "เผาบ้าน-ปล้นเมือง, ล้มสถาบัน-เปลี่ยนระบอบ" ไม่ได้ "การุณยฆาต" สถานเดียวที่ "เนื้อร้ายสังคม" ประเภทนี้ต้องได้รับ
นีคือกฎหมาย-กฎเมือง!
ผมขอย้ำว่า ปลายมิถุนา-กรกฎา-สิงหา นี้ ปัญหาโจรก่อการร้าย "กบฏทักษิณ" จะเวียนกลับมาก่อภัยให้แผ่นดินอีก และนี่คือสิ่งที่ผมจะบอกว่า นับจาก ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ที่เกิดเหตุการณ์ "ขวาพิฆาตซ้าย" ฝากไว้เป็นรอยในประวัติศาสตร์
๓๔ ปีผ่านมาแล้ว ณ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ครบรอบตามวัฏฏะดาวเสาร์ ครั้งนี้ไม่ใช่ "ขวาพิฆาตซ้าย" หากแต่เป็น "ซ้ายพิฆาตขวา" คือพวกกบฏแดงเป็นฝ่ายฆ่าทหาร ฆ่าประชาชน
และเมื่อดาวเสาร์-ดาวพฤหัสบดี และดาวมฤตยู อันเป็นคู่ดาวแห่ง "การเปลี่ยนแปลงใหญ่" ชนิดฉับพลันเหนือคาดหมายเล็งกันเช่นนี้ จะพูดให้เห็นภาพ ยุค ๑๔ ตุลา ๑๖ ถึงยุค ๖ ตุลา ๑๙ เรื่อยมาถึงยุคพลเอกเกรียงศักดิ์ และพลเอกเปรม นั่นเป็นยุคภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์แทรกซึมชาติ ทหารจึงเป็นส่วนผสมการเมืองในการบริหารราชการแผ่นดิน
จนกระทั่งยุคพลเอกชาติชาย ภัยลัทธิหมดไป นโยบาย "แปลงสนามรบเป็นสนามการค้า" จึงถูกนำมาใช้แทนเรื่อยมา จาก ๒๕๓๐ จนถึง ๒๕๔๔ ที่แต่ละรัฐบาลใช้นโยบาย "การเมืองนำการทหาร"
แต่นับจากปี พ.ศ.๒๕๔๔ ที่ทักษิณครอบงำอำนาจบริหารประเทศในฐานะนายกฯ "ภัยลัทธิ" รูปแบบใหม่ จากการผสมพันธุ์ระหว่าง "ซ้ายละเมอ" กับขวาเหิมเกริม "คิดใหม่-ทำใหม่" ค่อยๆ ฟักตัวเติบใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ บนเป้าหมาย "ล้มสถาบัน-เปลี่ยนระบบ" อำนาจรวมศูนย์ทักษิณ!
กลยุทธ์-กลวิธีเดินไปสู่เป้าหมาย หลักใหญ่ที่เห็นไม่มีอะไรมาก ยึดกรรมาชน ชาวไร่-ชาวนา คนยากคนจน ตั้งเป็นฐาน เหมือนเมื่อครั้งลัทธคอมมิวนิสต์เข้ามาไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๓ ไม่ผิดเพี้ยน แต่แดงสยามครั้งนั้น "ยึดราก" ได้ช้า เพราะใช้อุดมการณ์ลัทธิเป็นตัวนำในการยึดราก ผิดกับระบบทักษิณ
ใช้ "อุดมกู" กับ "เงิน" ยึดราก!
ซึ่งได้ผลเร็วมาก ทั้งข้าราชการ-ตุลาการ-นักการเมือง-ทหาร-ตำรวจ-ครู-อาจารย์-นักวิชาการ-พระ-สื่อมวลชน และประชาชน เรียกว่า "ทั้งโจรทั้งบัณฑิต" ในทุกสถาบัน กลายเป็นนกติดตัง ในระบบ "ทุนวัตถุ" จนเกิดค่านิยมว่า "โกงแล้วเอามาแบ่ง...ยอมรับได้"
ในขณะที่คนในแผ่นดินเมา "ทุนวัตถุ" ตัวทักษิณกับคณะพรรค ก็ก้าวขยับไปสู่เป้าหมายเรื่อยๆ จากขั้นก่อการ "กัดกร่อนสถาบัน" ให้ฐานเซ เพียง ๕-๖ ปี ก็เติบกล้าถึงขั้นลงมือปฏิบัติการ "แดงทั้งแผ่นดิน" ล้มสถาบัน-เปลี่ยนระบอบประเทศ โดยแบ่งงานฝ่ายการเมืองอันเป็น "ฝ่ายบุ๋น" ให้พรรคเพื่อโจร กับฝ่ายชุมนุมสันติ-อหิงสา เดินเกม
ส่วนฝ่ายยุทธการอันเป็น "ฝ่ายบู๊" พวกเสนาธิการ "ทุนเหิมเกริม" กับ "ซ้ายละเมอ" วางแผนอยู่ในรังลับเรื่อยมาตั้งแต่ ๑๙ กันยา ๔๙ จัดตั้งกองกำลังผสมไม่ทราบฝ่าย อันมาจากทหาร-ตำรวจ-เสือพราน ทั้งในและนอกราชการ ผสมด้วยอันธพาล มาเฟียท้องถิ่น นักค้ายาและสิ่งผิดกฎหมายในเครือข่ายทุนใต้ฐานทักษิณ
เป้าหมายหลักมีอย่างเดียว.....
ยึดประเทศ-ล้มสถาบัน สถาปนา "อำนาจระบอบทักษิณ" ขึ้นครองแผ่นดิน ตามจินตนาการแอบจิต "คิดใหม่-ทำใหม่" ในแนว "ปฏิวัติฝรั่งเศส"!
เมื่อเรียบเรียงเหตุการณ์มาร้อยต่อเข้าด้วยกันก็จะเห็นว่า "เงื่อนไขสังคมเดิม" คือเรื่องลัทธิยึดครองชาติ ๓๐ กว่าปีผ่านไป "เชื้อเก่า-ผสมใหม่" ก็ปะทุเชื้อร้ายอีกรูปแบบหนึ่งภายใต้โครงสร้าง "ทุนวัตถุ" ขึ้นมาอีกแล้วในวันนี้
ชัดแล้วว่าสังคมที่ใช้ "ทุนวัตถุ" เป็นตัวนำ สุดท้ายจะมีบทสรุปให้เห็นดัง ๑๙ พฤษภา ๕๓ ฉะนั้น การปฏิวัติสังคมชาติใหม่ จะต้องนำ "ทุนธรรม" นำทุนวัตถุให้ได้ สังคมพอเพียง "จนพอเพียง-รวยพอเพียง-เจริญพอเพียง" นั่นคือฐานทุนธรรม อันมีแนวปฏิบัติผ่านสหกรณ์ และร่วมเป็น "สังคมใหม่" สังคมประชาธิปไตย-รัฐสภาประชาธิปไตยที่ "คนไทยทั้งประเทศ" ออกแบบกันเอง และใช้กันเอง
และแบบที่ออกนั้น "ทหาร-การเมือง" ต้องอยู่ด้วยกัน-ไปด้วยกัน
ไม่อย่างนั้น...เสร็จสภาโจร!?.

Read more...

smallroom-cafe: "ฟื้นฟูประเทศ" วาระคนไทยทั้งชาติ

smallroom-cafe: "ฟื้นฟูประเทศ" วาระคนไทยทั้งชาติ

Read more...

"ฟื้นฟูประเทศ" วาระคนไทยทั้งชาติ

ความเคลื่อนไหวของทุกภาคส่วนในการสนับสนุน ส่งเสริมให้รัฐบาลคืนความเชื่อมั่นแก่สังคมไทย ตลอดจนสังคมโลก หลังเหตุการณ์วิกฤติเผาบ้านเผาเมืองสงบลงเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 นับว่ามีนัยสำคัญบ่งบอกได้อย่างดีแล้วว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่คาดหวังว่า แผนการปรองดองแห่งชาติรวมทั้งนโยบายการฟื้นฟูประเทศโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจปฏิเสธอีกต่อไป
ความสูญเสียที่เกิดจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงโดยการนำของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่ามี "ทักษิณ ชินวัตร" อยู่เบื้องหลัง อาจจะสามารถประเมินค่าความเสียหายได้จากตัวตึก อาคาร สถานที่ และทรัพย์สินต่างๆ ได้ แต่ความสูญเสียในความรู้สึกและจิตใจของคนไทย สูญสิ้นความมั่นใจ และความภาคภูมิใจต่อการเป็นพลเมืองในดินแดนสยามเมืองยิ้ม โดยเฉพาะคนที่ต้องตกอยู่ในภาวะตื่นตกใจ เพราะเป็นประชากรในพื้นที่อันตรายนั้น คงไม่อาจจะนับเป็นตัวเลขได้ ฉะนั้น วิธีการ แนวทาง นโยบายใดๆ ก็ตาม ที่สามารถเรียกคืนศักดิ์ศรีความเป็นคนไทยที่รักสงบ และมีน้ำใจไมตรี เป็นที่กล่าวขานของชาวโลกได้นั้น ไม่ว่าคนไทยจิตใจสีไหนก็ย่อมอยากเห็นและอยากให้เป็นโดยเร็วที่สุด
แผนความปรองดองแห่งชาติ 5 ข้อ อันประกอบด้วย ข้อ 1.เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ข้อ 2.ปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องการถูกรังแกจากผู้มีอำนาจ ความไม่เป็นธรรมในสังคม และปัญหาเรื่องสวัสดิการสังคม รวมถึงปัญหาอื่นๆ ข้อ 3.ระบบสื่อสารมวลชน ขอให้สื่อทำหน้าที่ที่ไม่สร้างความรุนแรงและไม่สร้างความเกลียดชัง ข้อ 4.ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ต่างๆ จากความสูญเสียในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่มีการชุมนุมวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา และ ข้อ 5.ปฏิรูปการเมืองและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
จนถึงวันนี้ ดูเหมือนจะไม่น่าสนใจและน่าติดตามตรวจสอบเท่ากับสาระสำคัญที่นายกรัฐมนตรีประกาศต่อหน้าคนไทยทั้งประเทศว่า "เวลานี้ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการของการฟื้นฟู ตึกรามบ้านช่อง อาคารต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือ การฟื้นฟูจิตใจ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของบ้านเมืองที่จะต้องเกิดขึ้นต่อไป ส่วนการดำเนินคดี การดำเนินการตามกฏหมายกับผู้ซึ่งกระทำความผิดและมีโทษร้ายแรงในข้อหาต่างๆ นั้น ก็จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ต่อเนื่อง เด็ดขาด โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกๆ ฝ่าย การฟื้นฟูประเทศ ฟื้นฟูจิตใจของประชาชนในระยะยาว ในแผนปรองดองประกอบด้วย 5 ข้อ แผนดังกล่าวก็ยังเป็นเจตนารมณ์สำคัญที่รัฐบาลยังยึดถืออยู่ แต่ที่จะต้องเพิ่มเติมเข้าไปก็จะเป็นในส่วนของการฟื้นฟูในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านจิตใจ สังคม เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งในเรื่องของการเมือง เน้นเรื่องของการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนทุกฝ่าย ที่จะช่วยกันทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข และทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยนั้นกลับมาเป็นหนึ่งเดียว มีความสมัครสมานสามัคคี"
คำประกาศของนายกฯ ข้างต้น พร้อมกับเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนทุกกลุ่มมาช่วยกันออกแบบ ช่วยกันสร้าง ลงแรง ลงใจ ทำให้บ้านเมืองกลับมาเป็นบ้านที่น่าอยู่เหมือนเดิม โดยระบุว่ากระบวนการนี้จะเริ่มต้นนับตั้งแต่นาทีนี้นั้น เสมือนเป็นสัญญาประชาคมที่ขณะนี้คนไทยทั้งชาติต้องจับตามองเพราะทุกคนได้ประจักษ์แจ้งแล้วว่า ท่ามกลางการชุมนุมที่ยุติลงไปนั้น ยังปรากฏความคุกรุ่นของความแค้นและไม่พอใจระบายอยู่ทั่วสังคมไทย สอดคล้องกับที่มีการพิเคราะห์พิจารณ์ว่า การชุมนุมยุติแต่การต่อสู้ยังไม่ยุติ
มาตรการการฟื้นฟูประเทศจึงไม่ใช่เพียงแค่ฟื้นฟูซากปรักหักพัง อาคาร สถานที่ ถนนสายต่างๆ ให้มีชีวิตคืนสู่ปกติเท่านั้น แต่ย่อมหมายถึงฟื้นฟูสุขภาวะในจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ซึ่งโจทย์สำคัญคือความรู้สึกแบ่งแยกแตกต่างที่ไม่เพียงรัฐบาลเท่านั้นที่จะต้องแก้สมการปัญหานี้ให้ได้ แต่ทุกคนในสังคมไทยต้องยอมรับว่า ความเหลื่อมล้ำ ความเป็นสองมาตรฐานที่เป็นประเด็นการต่อสู้ของม็อบเสื้อแดงในครั้งนี้ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกฝ่ายที่ต้องช่วยทำการบ้านด้วยไม่มากก็น้อย
คนไทยทุกคนต้องมีจิตสำนึกร่วมว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเกิดมาเป็นคน ศีลธรรม จริยธรรม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ หรือประชาธิปไตย คนไทยพึงต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจว่า การชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิใดๆ ของผู้รักสันติ สงบ อหิงสา มีเส้นแบ่งที่เหมือนและแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของการชุมนุมที่มีการจัดตั้งโดยกลุ่มทุนสามานย์ พร้อมยังมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเป็นผู้หนุนหลัง มิเช่นนั้น ความฉิบหายอันเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจและเห็นแก่ตัวก็จะเป็นวงจรอุบาทว์กลับมาสร้างวิกฤติให้กับประเทศอย่างไม่รู้จบ
บทเรียนความเจ็บปวดจากคนไทยเข่นฆ่ากันเอง เพราะความแปลกแยกทางความคิด และความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกัน ทำให้สังคมไทยได้เห็นและพิสูจน์กับตาแล้วว่า ลำพังมาตรการความมั่นคงซึ่งใช้กำลังและอาวุธเป็นธงนำหน้านั้น ไม่อาจจะสามารถเอาชนะการก่อการร้ายหรือผู้ต่อต้านอำนาจรัฐได้ แม้กระทั่งมาตรการทางการเมือง ก็แก้ไขวิกฤติอันรุนแรงได้ยาก เพราะความเห็นแก่ตัวและขาดความเสียสละของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น การฟื้นฟูประเทศจะบรรลุเป้าหมายคืนความสุขสู่สังคมไทยได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยทุกคนต้องร่วมกันทำ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ โดยเริ่มจากครอบครัว ชุมชน โรงเรียน องค์กร สถาบัน จนเป็นเครือข่ายที่มีจิตสำนึกรักประเทศบ้านเกิดขยายวงกว้างออกไปเป็นลูกโซ่ จนปิดประตูมิให้คนนอกเข้ามาแทรกแซง และเงินไม่สามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของทุกคนในสังคมอีกต่อไป อย่างน้อยที่สุด รัฐบาลนั่นแหละต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างนำร่อง ฯพณฯ จะจัดการฟื้นฟูทหารแตงโมและตำรวจมะเขือเทศให้เป็นรั้วของชาติและผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริงได้อย่างไร.

Read more...

About This Blog

  © Blogger template The Beach by Ourblogtemplates.com 2009

Back to TOP