"ฟื้นฟูประเทศ" วาระคนไทยทั้งชาติ
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ความเคลื่อนไหวของทุกภาคส่วนในการสนับสนุน ส่งเสริมให้รัฐบาลคืนความเชื่อมั่นแก่สังคมไทย ตลอดจนสังคมโลก หลังเหตุการณ์วิกฤติเผาบ้านเผาเมืองสงบลงเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 นับว่ามีนัยสำคัญบ่งบอกได้อย่างดีแล้วว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่คาดหวังว่า แผนการปรองดองแห่งชาติรวมทั้งนโยบายการฟื้นฟูประเทศโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจปฏิเสธอีกต่อไป
ความสูญเสียที่เกิดจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงโดยการนำของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่ามี "ทักษิณ ชินวัตร" อยู่เบื้องหลัง อาจจะสามารถประเมินค่าความเสียหายได้จากตัวตึก อาคาร สถานที่ และทรัพย์สินต่างๆ ได้ แต่ความสูญเสียในความรู้สึกและจิตใจของคนไทย สูญสิ้นความมั่นใจ และความภาคภูมิใจต่อการเป็นพลเมืองในดินแดนสยามเมืองยิ้ม โดยเฉพาะคนที่ต้องตกอยู่ในภาวะตื่นตกใจ เพราะเป็นประชากรในพื้นที่อันตรายนั้น คงไม่อาจจะนับเป็นตัวเลขได้ ฉะนั้น วิธีการ แนวทาง นโยบายใดๆ ก็ตาม ที่สามารถเรียกคืนศักดิ์ศรีความเป็นคนไทยที่รักสงบ และมีน้ำใจไมตรี เป็นที่กล่าวขานของชาวโลกได้นั้น ไม่ว่าคนไทยจิตใจสีไหนก็ย่อมอยากเห็นและอยากให้เป็นโดยเร็วที่สุด
แผนความปรองดองแห่งชาติ 5 ข้อ อันประกอบด้วย ข้อ 1.เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ข้อ 2.ปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องการถูกรังแกจากผู้มีอำนาจ ความไม่เป็นธรรมในสังคม และปัญหาเรื่องสวัสดิการสังคม รวมถึงปัญหาอื่นๆ ข้อ 3.ระบบสื่อสารมวลชน ขอให้สื่อทำหน้าที่ที่ไม่สร้างความรุนแรงและไม่สร้างความเกลียดชัง ข้อ 4.ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ต่างๆ จากความสูญเสียในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่มีการชุมนุมวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา และ ข้อ 5.ปฏิรูปการเมืองและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
จนถึงวันนี้ ดูเหมือนจะไม่น่าสนใจและน่าติดตามตรวจสอบเท่ากับสาระสำคัญที่นายกรัฐมนตรีประกาศต่อหน้าคนไทยทั้งประเทศว่า "เวลานี้ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการของการฟื้นฟู ตึกรามบ้านช่อง อาคารต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือ การฟื้นฟูจิตใจ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของบ้านเมืองที่จะต้องเกิดขึ้นต่อไป ส่วนการดำเนินคดี การดำเนินการตามกฏหมายกับผู้ซึ่งกระทำความผิดและมีโทษร้ายแรงในข้อหาต่างๆ นั้น ก็จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ต่อเนื่อง เด็ดขาด โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกๆ ฝ่าย การฟื้นฟูประเทศ ฟื้นฟูจิตใจของประชาชนในระยะยาว ในแผนปรองดองประกอบด้วย 5 ข้อ แผนดังกล่าวก็ยังเป็นเจตนารมณ์สำคัญที่รัฐบาลยังยึดถืออยู่ แต่ที่จะต้องเพิ่มเติมเข้าไปก็จะเป็นในส่วนของการฟื้นฟูในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านจิตใจ สังคม เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งในเรื่องของการเมือง เน้นเรื่องของการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนทุกฝ่าย ที่จะช่วยกันทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข และทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยนั้นกลับมาเป็นหนึ่งเดียว มีความสมัครสมานสามัคคี"
คำประกาศของนายกฯ ข้างต้น พร้อมกับเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนทุกกลุ่มมาช่วยกันออกแบบ ช่วยกันสร้าง ลงแรง ลงใจ ทำให้บ้านเมืองกลับมาเป็นบ้านที่น่าอยู่เหมือนเดิม โดยระบุว่ากระบวนการนี้จะเริ่มต้นนับตั้งแต่นาทีนี้นั้น เสมือนเป็นสัญญาประชาคมที่ขณะนี้คนไทยทั้งชาติต้องจับตามองเพราะทุกคนได้ประจักษ์แจ้งแล้วว่า ท่ามกลางการชุมนุมที่ยุติลงไปนั้น ยังปรากฏความคุกรุ่นของความแค้นและไม่พอใจระบายอยู่ทั่วสังคมไทย สอดคล้องกับที่มีการพิเคราะห์พิจารณ์ว่า การชุมนุมยุติแต่การต่อสู้ยังไม่ยุติ
มาตรการการฟื้นฟูประเทศจึงไม่ใช่เพียงแค่ฟื้นฟูซากปรักหักพัง อาคาร สถานที่ ถนนสายต่างๆ ให้มีชีวิตคืนสู่ปกติเท่านั้น แต่ย่อมหมายถึงฟื้นฟูสุขภาวะในจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ซึ่งโจทย์สำคัญคือความรู้สึกแบ่งแยกแตกต่างที่ไม่เพียงรัฐบาลเท่านั้นที่จะต้องแก้สมการปัญหานี้ให้ได้ แต่ทุกคนในสังคมไทยต้องยอมรับว่า ความเหลื่อมล้ำ ความเป็นสองมาตรฐานที่เป็นประเด็นการต่อสู้ของม็อบเสื้อแดงในครั้งนี้ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกฝ่ายที่ต้องช่วยทำการบ้านด้วยไม่มากก็น้อย
คนไทยทุกคนต้องมีจิตสำนึกร่วมว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเกิดมาเป็นคน ศีลธรรม จริยธรรม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ หรือประชาธิปไตย คนไทยพึงต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจว่า การชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิใดๆ ของผู้รักสันติ สงบ อหิงสา มีเส้นแบ่งที่เหมือนและแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของการชุมนุมที่มีการจัดตั้งโดยกลุ่มทุนสามานย์ พร้อมยังมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเป็นผู้หนุนหลัง มิเช่นนั้น ความฉิบหายอันเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจและเห็นแก่ตัวก็จะเป็นวงจรอุบาทว์กลับมาสร้างวิกฤติให้กับประเทศอย่างไม่รู้จบ
บทเรียนความเจ็บปวดจากคนไทยเข่นฆ่ากันเอง เพราะความแปลกแยกทางความคิด และความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกัน ทำให้สังคมไทยได้เห็นและพิสูจน์กับตาแล้วว่า ลำพังมาตรการความมั่นคงซึ่งใช้กำลังและอาวุธเป็นธงนำหน้านั้น ไม่อาจจะสามารถเอาชนะการก่อการร้ายหรือผู้ต่อต้านอำนาจรัฐได้ แม้กระทั่งมาตรการทางการเมือง ก็แก้ไขวิกฤติอันรุนแรงได้ยาก เพราะความเห็นแก่ตัวและขาดความเสียสละของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น การฟื้นฟูประเทศจะบรรลุเป้าหมายคืนความสุขสู่สังคมไทยได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยทุกคนต้องร่วมกันทำ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ โดยเริ่มจากครอบครัว ชุมชน โรงเรียน องค์กร สถาบัน จนเป็นเครือข่ายที่มีจิตสำนึกรักประเทศบ้านเกิดขยายวงกว้างออกไปเป็นลูกโซ่ จนปิดประตูมิให้คนนอกเข้ามาแทรกแซง และเงินไม่สามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของทุกคนในสังคมอีกต่อไป อย่างน้อยที่สุด รัฐบาลนั่นแหละต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างนำร่อง ฯพณฯ จะจัดการฟื้นฟูทหารแตงโมและตำรวจมะเขือเทศให้เป็นรั้วของชาติและผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริงได้อย่างไร.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น