ผู้ติดตาม

ค้นหาบล็อกนี้

บทสัมภาษณ์ของกนก(เนชั่น) ที่คนข่าวต้องอ่าน

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553


เมื่อคืนนั่งอ่านโน่นอ่านนี่ไปเรือย ปรากฏว่าเจอบทสัมภาษณ์ ของ คนข่าวมือวางอันดับหนึ่งของประเทศไทย อย่าง กนก รัตน์วงศ์สกุล หรือ พี่กนก แห่งเนชั่น แชนแนล ที่คุณภิญโญ ไตรสุรยะธรรมา แห่งนิตยสาร OPEN สัมภาษณ์ไว้ตั้งแต่ปี 2003 เป็นบทสัมภาษณ์ที่ในฐานะคนข่าวรุ่นใหม่อย่างผม ที่ได้มีโอกาสได้มาอ่านเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ


แต่เมื่ออ่านจบบอกได้คำเดียว "เสียดายชิปxxxถ้าไม่ได้อ่าน"
ยาวหน่อย แต่ถ้ามีเวลาลองอ่านดูครับ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่สนใจข่าวสาร
นิตยสาร OPEN (กรกฏาคม 2003)

เก็บตก กนก รัตน์วงศ์สกุล จากเนชั่น
วันที่กะเพราไก่ถูกเจาะไข่ดาว
จัดรายการเก็บตกจากเนชั่นคู่กับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา มาหลายปี จนได้รับสมญาว่าเป็นกะเพราไก่ไข่ดาว แต่เมื่อไข่ดาว-สรยุทธโบกมืออำลาจากเนชั่น พร้อมผลประโยชน์มากมายที่รออยู่เบื้องหน้า
กะเพราไก่จานเดิมอย่างกนกจะทำอย่างไรต่อไป ปรัชญาและความเชื่อในการสร้างคน สร้างองค์กรข่าวให้เข้มแข็งตามแบบฉบับเครือเนชั่นถูกสั่นคลอนไปมากน้อยแค่ไหน

กนก รัตน์วงศ์สกุล ตอบทุกคำถามด้วยถ้อยคารมที่ คม ชัด และ ลึก

ตอนนี้คุณทำเก็บตกจากเนชั่นคนเดียวมากี่เดือนแล้ว

"ประมาณครึ่งเดือน แต่ก็ไม่ถึงกับอยู่คนเดียว มี คุณธีระ ธัญไพบูลย์ผล ขึ้นมาจัดคู่ เป็นอีกสไตล์หนึ่ง เพราะว่าปัจจุบันรายการอยู่คนเดียวไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีการโยนลูกกัน ไปต่อได้ยากมาก"

หลังจากย้ายช่องมาแล้วต้องจัดทั้งหมดกี่รายการ

"ผมมีประมาณสองรายการครึ่ง คือรายการเก็บตกจากเนชั่นตอนเช้าทำคู่กับคุณธีระที่มาแทนคุณสรยุทธ ส่วนเก็บตกตอนค่ำทำร่วมกับคุณธีระและคุณรุ่งนภา แต่หลัก ๆ ผมเป็นตัวยืน โดยที่เก็บตกแต่ละช่วงจะมีรูปแบบต่างกัน ช่วงเช้าเป็นการสัมภาษณ์ ในขณะที่ช่วงค่ำเราฉีกมาเป็นลักษณะคุยเหมือนกันแต่จะกระชับ รวบรัดมากกว่าตอนเช้า ส่วนคมชัดลึกจะเป็นรายการที่เอาประเด็นมาว่ากันทุกด้าน ทุกมุม"

หลังจากคุณสรยุทธไปแล้วรายการคมชัดลึกต้องจัดกระบวนท่าใหม่อย่างไร

"คุณก่อเขตเข้ามาเป็นตัวหลักแทน ความที่เขาเคยมีประสบการณ์ในการทำถอดรหัสเดิมที่ไอทีวี ทำให้เขามีความรอบรู้เรื่องข่าวอาชญากรรม สังคม แล้วยังเป็นบรรณาธิการที่หนังสือพิมพ์คมชัดลึกอีก ก็เลยชวนมารับหน้าที่เป็นพิธีกรหลัก โดยต่อไปก็จะมีคุณสุทธิชัย คุณเทพชัย เข้ามาช่วยอีกสองแรง ถึงตอนนั้นผมจะค่อย ๆ ถอยออกมา ตอนนี้ผมแค่ไปช่วยชั่วคราวเท่านั้น เพราะความที่หน้าผมมันเยอะมาก เช้าก็มา เย็นก็มา ค่ำอีก มิหนำซ้ำ หลังเที่ยงคืนยังจะมีการเอาเทปมาออกอากาศอีกรอบ จึงต้องพยายามปรับให้สมดุล ไม่ให้คนดูเบื่อ"

แล้วเอาเวลาที่ไหนไปหลับไปนอน เพราะต้องจัดรายการตั้งแต่เช้าไปถึงดึก วันหนึ่ง ๆ นอนทั้งหมดกี่ชั่วโมง

"ผมนอนเป็นหย่อม ๆ มากกว่า หนึ่งชั่วโมงบ้าง สองชั่วโมงบ้าง แล้วแต่จังหวะ"

มาทำงานกี่โมง กลับถึงบ้านกี่โมง

"ผมมาทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้า มาถึงก็เตรียมรายการเก็บตกทันที นั่งเปิดหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ แล้วค่อยสั่งน้อง ๆ ให้ติดต่อแขกรับเชิญ"

มีโปรดิวเซอร์หรือกองหนุนช่วยหรือเปล่า

"มีเฉพาะโปรดิวเซอร์ ความจริงหน้าที่ของโปรดิวเซอร์คือ เมื่อผมมาถึง เขาจะต้องลำดับข่าวก่อนหลังเอาไว้แล้ว แต่ตอนนี้เป็นลักษณะช่วยกันมากกว่า เพราะน้อง ๆ จะเกรง ๆ เคยทำให้ผมแล้ว แต่ผมไม่ชอบ รื้อโน่นรื้อนี่ ตอนหลังน้อง ๆ คงเบื่อกันหมด ซึ่งจริง ๆ ไม่ดีนะ ผมจะต้องเชื่อเขา ไม่อย่างนั้นก็ต้องทำเองทั้งหมด"

คุณเลือกแขกรับเชิญด้วยตัวเองหรือเปล่า

"ช่วยกันครับ เพราะบางทีโปรดิวเซอร์เขาคิดว่าคนนี้ดีกว่า ก็ต้องเชื่อเขา"

ทำงานอย่างนี้ ชีวิตเป็นอิสระตอนไหน

"เก็บตกหมดตอนสิบโมงเช้า ชีวิตก็ยังไม่เป็นอิสระ เพราะผมจะไปแชตตอบอีเมล และรับโทรศัพท์คนดู อีกสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นค่อยอิสระ จนกระทั่งถึงบ่ายต้องไปประชุมข่าวรอบสอง ตอนบ่ายสามโมง เพื่อเตรียมรายการตอนค่ำ ประชุมเสร็จตอนสามโมงครึ่งถึงสี่โมง ก็จะต้องประสานงานกับทีมงาน เริ่มคัดเลือกแขกรับเชิญว่าตอนทุ่มจะเอาใคร ส่วนในตอนบ่ายจะมีอีกทีมของคมชัดลึกเข้ามาสลับหน้าที่ โดยที่ผมจะเป็นตัวยืน"

อย่างนี้เอาเวลาที่ไหนไปแอบหลับ

"จริง ๆ ถ้าไม่มีสัมภาษณ์ตอนนี้ (ช่วงบ่ายสองโมง) ผมจะไปนอนตอนบ่ายแล้ว ปกติกินข้าวเที่ยงเสร็จ ผมก็จะไปนอนสักชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่ง นอนที่สตูดิโอเลย ไม่ได้กลับไปบ้าน บริเวณหลังสตูดิโอจะมีฉาก ซึ่งหลังฉากจะมีที่นอน มีเสื่อ บางทีรายการสดตอนเช้ายังมีเสียงกรน เสียงบิดขี้เกียจอยู่เลย แขกรับเชิญบางคนถึงกับตกใจ คุณรุ่งนภาเจอมาแล้ว จัดรายการสุขภาพตอนเช้า ก็มีเสียงบิด เสียงกรน จนต้องรีบเปลี่ยนเรื่องพูด"

สำหรับงานทีวีการนอนในออฟฟิศอย่างนี้เป็นเรื่องไม่ถือสาหาความกันใช่ไหม

"ไม่ครับ ที่เนชั่นเป็นสถานีข่าว 24 ชั่วโมง บางคนต้องแลกเวร ต้องหาที่นอนกันเอาเอง"

CNN หรือสื่อต่างประเทศเขาเป็นกันอย่างนี้หรือเปล่า หรือว่าเขาทำกันอย่างไร

"เขาคงไม่เป็นอย่างเรา คงเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่านี้ มีความเป็นมืออาชีพ มีความเป็นระบบกว่าเรา แต่ความจริงการนอนในออฟฟิศไม่ถือเป็นเรื่องงาน เป็นเรื่องส่วนตัว มีหลายคนที่นี่ประมาณ 3-4 คนไม่ได้กลับบ้านหลายเดือน กลายเป็นพ่อบ้านที่นี่ เพราะบางคนเป็นโปรดิวเซอร์ตอนเช้าก็ต้องเตรียมกราฟฟิก เตรียมเพจตั้งแต่เที่ยงคืนถึงเช้า สาย ๆ จึงจะได้นอน หรือหัวหน้าข่าวบางคนจะต้องอยู่จนดึกดื่น ซึ่งผมคิดว่าเนชั่นโชคดีที่มีบุคลากรอย่างนี้ บางทีมีข่าวด่วนเข้ามา คนพวกนี้ก็จะทำงานทันที ลุยได้เลย"

นอกจากการเป็นผู้ประกาศข่าวและผู้ดำเนินรายการแล้ว คุณต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับส่วนอื่นของข่าวอีกหรือเปล่า

"ผมเป็นหัวหน้าผู้ประกาศข่าวมีหน้าที่ดูแลผู้ประกาศข่าวทุกคนช่วยดูแลเวลาที่เขาผิด ตอนหลังผมเป็นบรรณาธิการออนแอร์อีกตำแหน่ง รับผิดชอบตอนออกอากาศทั้งหมด ตั้งแต่วิ่งตัวโมต ตัวเพจ จริง ๆ แล้วมีอ่านข่าวอีกตอนสามทุ่มด้วย คือ ที่นี่ข่าวไพรม์ไทม์จะอยู่ตอนสามทุ่ม ไม่ใช่หนึ่งทุ่มเหมือนช่องอื่น คล้าย ๆ กับของอเมริกา เราจะเก็บกวาดคนที่ไม่ดูละคร เมื่อก่อนตอนเปิดสถานีข่าวใหม่ ๆ อ่านข่าวทุกคืน ตอนหลังก็ถอยให้คนรุ่นใหม่มาอ่านบ้าง แต่ก็ยังมีห้อยอยู่บ้างสัปดาห์ละหนึ่งถึงสองคืน เฉพาะคืนที่ผมอ่าน คืนนั้นผมจะไม่จัดคมชัดลึก"

ทำงานหนักอย่างนี้ พลังงานมีหมดบ้างหรือเปล่า

"มันล้ามากกว่า แต่ผมไม่เครียด ผมดูข่าวเป็นประจำอยู่แล้ว ตอนนั่งรถมาทำงานก็จะนั่งคิดว่า เดี๋ยวแปดโมงเช้าจะพูดอะไรเป็นประโยคแรก จะแซวอย่างไรจะคิดตลอด แต่ไม่เครียด เพราะถ้าล้า หน้าก็จะช้ำ ตาดำ ปกติก็ไม่หล่ออยู่แล้ว แล้วจะมาอดหลับอดนอนอีก ไม่อยากให้หมองมากกว่านี้ ให้เกียรติคนดูหน่อย"

คิดว่าทุกวันนี้ทำงานมากไปหรือเปล่า

"มาก เป็นความโชคดีของเนชั่น (หัวเราะ) แต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นงานด้วย ผมชอบดูข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ได้ทุกที่ ไปเที่ยวก็ไม่เว้น ต้องเลือกห้องที่มีทีวี มีหนังสือพิมพ์ จนตอนหลังคนที่ไปด้วยเขาเบื่อกันหมด สำหรับผมนานแล้วที่ไม่ได้เห็นทะเล เมื่อก่อนไปพัทยาทุกเดือน หลัง ๆ มาสามปีแล้วที่ยังไม่ได้ไปทะเลเลย"

ทำไมสถานการณ์ของเนชั่นขณะนี้ดูเหมือนกับทุกคนทำงานหนักมากเกินไป

"จริง ๆ แล้วยังไม่พอนะ ยังไม่ได้อย่างที่หวัง แต่บอกไม่ได้ว่าขนาดไหนเป็นสิ่งที่ต้องการของที่นี่ บอกได้แค่ว่า ที่เห็นอยู่นี้ยังไม่ใช่อย่างที่ต้องการ อย่างที่เราต้องการคือ ตรึงคนดูตั้งแต่เช้า เปิดเราตลอดเวลาให้ได้ แต่ทุกวันนี้เรายังเปิดโอกาสให้คนดูหมุนไปช่องอื่นอยู่ ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าเราทำงานหนักจริง ๆ ทำไปตามที่วางแผนไว้ คนต้องอยู่ที่ช่องเราไปตลอด"

แล้วทำไมยังทำไม่ได้ เป็นเพราะบุคลากรรุ่นใหม่ไม่เข้มแข็งพอ คนน้อยไป หรือเงินไม่ถึง

"หลาย ๆ อย่างปนกัน เงินก็เป็นส่วนสำคัญ งบประมาณที่ใช้ทำสถานีข่าว 24 ชั่วโมงต้องใช้เยอะมาก เราไม่ได้ทุนหนา แค่ทำเท่าที่มีอย่างเต็มที่ เราไม่มีรถถ่ายทอดสด ซึ่งถ้าเรามี เราจะถ่ายทุกวัน ใช้จนพัง บางทีนึกอิจฉาช่องอื่น แต่ไม่รู้ว่าทำไมมันไม่ไปทำข่าวนี้วะ อยากจะโทรศัพท์ไปบอกว่า ช่วยไปถ่ายหน่อยได้ไหม หรือเรื่องปริมาณคน จะว่าน้อยก็ไม่น้อย ผมว่าเป็นเรื่องประสบการณ์มากกว่า คนบางคนยังไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะจัดรายการ การจะจัดรายการได้ไม่ใช่คุณมาถึงก็จะมาสมัครอ่านข่าวเลย ในกรณีนี้ถ้าเรารับคุณ ทดสอบคุณเหมือนช่องอื่นแล้ว แน่นอนว่าสามเดือนแรกคุณยังไม่ได้อ่านข่าวหรอก ต้องไปเป็นผู้สื่อข่าวอยู่ข้างนอกก่อน อยู่ทำเนียบฯ อยู่กระทรวงกับรุ่นพี่สักระยะหนึ่ง แล้วค่อยกลับมาที่โต๊ะข่าว มานั่งเขียนข่าว แล้วถึงจะเขยิบมาอ่านข่าวเบรกต้นชั่วโมง ข่าวครึ่งชั่วโมง ข่าวหนึ่งชั่วโมง แล้วค่อยมาเป็นข่าวไพรม์ไทม์ หลังจากนั้น จากผู้ประกาศข่าว ก็อาจจะมาเป็นผู้จัดรายการเรื่องต่าง ๆ เช่น สุขภาพ กฎหมาย การศึกษา จนเมื่อคุณแกร่งกล้ามากขึ้น ก็อาจจะมาจัดรายการเก็บตกแทนผมในอนาคต มันจะต้องเป็นสเต็ป ที่สำคัญทุกอย่างต้องใช้เวลา"

ต้องใช้เวลาเป็นปีอย่างนี้ เด็กรุ่นใหม่เลยโตไม่ทัน

"ใช่ โตไม่ทัน ก็พยายามสร้างกันอยู่ พยายามสร้างในเส้นทางของเรา แม้ว่าบางคนจะกระเด็นออกไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะด้วยแรงที่เขาอยากไปเอง หรือด้วยแรงดูดอะไรก็ตามแต่ เราก็ต้องสร้างใหม่เรื่อย ๆ"

เหนื่อยไหมที่สร้างคนมาเรื่อย ๆ แล้วเขาก็ไป

"เหนื่อย หมดกำลังใจด้วย ของอย่างนี้มันเป็นสไตล์นะ เหมือนสูตรอาหาร คุณเข้ามาอยู่ร้านสุกี้ของผม เอาละ คุณจะมาเป็นพ่อครัว ถือว่าเรื่องใหญ่มาก คือถ้าเราเป็นพ่อครัวฝึกหัด ไม่ได้ปรุงน้ำจิ้มก็ไม่เป็นอะไร เอาน้ำจิ้มไปอย่างเดียว แต่ถ้าวันหนึ่งคุณเป็นหัวหน้าพ่อครัว คุณรู้สูตรน้ำจิ้ม เรื่องใหญ่แล้ว เพราะน้ำจิ้มคือหัวใจของร้านสุกี้ ทีนี้ เวร! มันดันออกไป และไม่รู้ว่าเอาสูตรน้ำจิ้มเราไปด้วยหรือเปล่า ใช่ไหม"

ส่วนใหญ่มันเอาไปแน่ ๆ อยู่แล้ว (หัวเราะ)

"แล้วที่มันเหนื่อยคืออะไรรู้ไหม พอเอาสูตรเราไป เราก็ต้องมาเปลี่ยนสูตรเหมือนกัน ที่เนชั่นตอนนี้ก็มี ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ แต่เราดู ๆ ก็รู้ เฮ้ย! เหมือนเราเลย คล้ายมาก อาจดีกว่าเราทำด้วยซ้ำ ก็ต้องคิดสูตรใหม่ขึ้นมา แต่เด็กรุ่นใหม่จะมีข้อเสียที่ว่า เขาจะจำอะไรบางอย่างกับการอ่านข่าวเดิม ๆ เราก็ต้องมาล้าง มาสอนเขาใหม่ ให้สนุกกับข่าว คือถ้าจะมาที่นี่เพื่อเอาเงินเดือนอย่างเดียวคุณต้องตายแน่ ๆ หัวสมองต้องระเบิด
การมาทำงานข่าว คุณต้องอยากรู้ว่า เฮ้ย! ป้าคนนั้นรถหายไปหลายวัน แล้วห้างก็ไม่รับผิดชอบ ตอนนี้ปีนขึ้นไปจะกระโดดลงมา ถ้าเป็นตัวคุณจะทำอย่างไร ในขณะเดียวกัน มีการฉกเงินในบริเวณเดียวกันไปอีกเกือบสองล้านบาท คุณจะต้องสนุกที่จะคิดต่อว่า ทั้งสองเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นการวางแผน แล้วใครวางแผน? คนทำงานที่นี่ต้องสนุกถึงจะอยู่ได้"

คนรุ่นใหม่มีอย่างนี้เยอะไหม ถ้าเดินเข้ามาสิบคนจะเหลือตัวจริงสักกี่คน

"ไม่ถึงครึ่ง แล้วที่สำคัญเขาไม่เข้าใจมากกว่า กว่าจะลงตัว สามารถวิ่งออกไปได้ มันต้องกระตุ้นหลายครั้ง เฮ้ย! ตรงนี้มันต้องเข้าข่าวด่วนเลย อ้าวพี่แต่มันไม่มีข่าว ต้องคอยบอกว่า นั่นแหละมันเป็นข่าว การที่มีข่าวออกไปว่ามาเฟียคนนี้มันจะมามอบตัว แล้วมันไม่มา มันคือข่าวแล้ว ไม่ใช่ต้องรอให้มาถึงจะเป็นข่าว ซึ่งการทำข่าวมันต้องมองหลาย ๆ อย่างควบคู่กันไป"

ถ้าสิบคนได้มาแค่ห้าคน แสดงว่าต้องสร้างใหม่ตลอด

"ใช่ แต่อย่าลืมว่าอาชีพนี้มีคนสนใจเยอะ เหมือนที่ครั้งหนึ่งคนสนใจอาชีพดีเจ วัน ๆ หนึ่งรับใบสมัครเยอะมาก เพียงแต่ขาดผู้ชาย หลายปีที่ผ่านมาหายากมาก"

เราเสียผู้ชายไปให้กับวงการไหน

"กับการเบี่ยงเบนทางเพศมั้ง (หัวเราะ) บางคนบ่นผมว่าทำไมพี่ไม่รับมาสักที ทำคนเดียวก็บ่นว่าเหนื่อย จริง ๆ มันไม่มี หายากมาก เขาก็จะบอกว่า ทำไมไม่มี ดูคนโน้นสิ สำหรับผม บางคนที่อ่านข่าวอยู่มันไม่ใช่ น้ำเสียงไม่ได้ ท่าทางก็ไม่ใช่ ถ้าบอกช่องไปเดี๋ยวมีเฮ (หัวเราะ) มันเหมือนน้ำจิ้ม แปร่ง ๆ ไม่เด็ดขาด การอ่านข่าวต้องเด็ดขาด (เน้นเสียง)
สภาพการเปลี่ยนแปลงสังคมก็มีส่วน แม้กระทั่งผู้หญิงก็ตาม เด็กวัยรุ่นพอเข้าสู่วัยทำงานการพูดการจา รวมทั้งการอ่านข่าวชอบพูดซ้ำ ๆ พูดไม่เต็มคำ ไม่มีตัวสะกด เป็นอุปสรรคในการฝึกมาก ออกอากาศแล้วเสียหาย คนดูรำคาญ"

มันเป็นวัฒนธรรมดีเจบวกกับวีเจด้วยหรือเปล่า

"ผมว่ามันเป็นพฤติกรรมของวัยรุ่นแต่ละยุคแต่ละสมัย ยุคผมก็คงจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งผู้ใหญ่ก่อนหน้าผมก็คงจะรำคาญคนรุ่นผมเหมือนกันว่า ไอ้นี่เพื่อชีวิตเกินไป อะไรก็เพื่อชีวิต ซึ่งเด็กรุ่นใหม่นี้คงต้องไปเหนื่อยกับเด็กรุ่นต่อไปเรื่อย ๆ "

ผลตอบแทนมีผลแค่ไหน เพราะดูเหมือนนอกจากชื่อเสียงแล้ว คนรุ่นหลังคิดเรื่องเงินเรื่องทองกันเยอะ

"ผมถึงบอกว่าคนที่อยากจะเข้ามาทำงานทีวีตรงนี้แล้วตั้งเป้าหมายว่าอยากจะดัง คุณจะเหนื่อย กลายเป็นคนไม่น่ารักในสังคมของคุณ ไม่มีความสุข"

มีเยอะไหมที่เข้ามาแล้วมีเจตจำนงว่าจะต้องดัง

"ก็มีบ้าง ไม่เยอะหรอก เราโชคดีที่คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นคนอยากทำงาน พอรู้ภูมิหลังพอสมควรว่าเข้ามาแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ก็จะบอกเขาตรง ๆ เลยว่า ถ้าอยากจะดัง ลำบากนะ ของอย่างนี้ไม่ใช่ดังวันนี้ พรุ่งนี้ ไม่ใช่น้องแอนที่กินให้อ้วนแล้วดัง ทีวีเป็นเรื่องใหญ่มาก ผมจะบอกให้ มันฆ่าคุณได้เลย ถ้าปล่อยคุณผิดจังหวะ ไม่ใช่มาถามว่า หนูอยากจะจัดรายการ ทำไมไม่ให้หนูจัดสักที ก็จะบอกเขาไปว่า หนูยังจัดไม่ได้หรอก เชื่อพี่เถอะ ถ้าปล่อยหนูตอนนี้ หนูก็ตาย เด็กบางคนก็ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะดัง แต่บางทีเขาอยากจะทำจริง ๆ แต่เขาไม่เข้าใจว่า อิทธิพลของทีวีมีมากอย่างไม่น่าเชื่อ คือคุณต้องทำการบ้านทุกวันอย่างเอาใจใส่ รู้ในสิ่งที่คุณจะทำอย่างลึกซึ้ง แล้วจับในสิ่งที่เราสอนมาให้ถูกต้องเสียก่อน บวกกับการทุ่มเทเวลา รับรองคุณมีชื่อเสียงแน่ เงินทองก็ไม่ต้องพูดถึง
แต่สำหรับคนที่คิดว่าอาชีพนี้ได้เงินมาก เดือนหนึ่งต้องได้เป็นแสน ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอก เราก็คืออาชีพหนึ่ง ที่ไม่ได้แตกต่างจากนางพยาบาลที่เข้าเวรเลย บางคนไม่ได้ต่างจากหนุ่มสาวโรงงานแถวเทพารักษ์เมื่อคิดในแง่รายได้ เราอยากให้คิดว่าเข้ามาเพราะอยากทำงานมากกว่า ถ้าคุณหวังว่าเข้ามาแล้วจะมีเงินซื้อบ้านภายในปีหรือสองปี คุณลำบากแน่"

แล้วคุณกนกซื้อบ้านแล้วหรือยัง

"ซื้อแล้วครับ แต่หลังเล็ก ๆ"

ทำงานกี่ปีถึงเก็บเงินซื้อบ้านได้

"ผมซื้อมานานแล้วครับ ไม่เกี่ยวกับงานตรงนี้ อย่างบ้านผมอยู่บางมด ขึ้นรถเมล์ไม่ไหว ผมก็ไม่ซื้อรถ ผมซื้อบ้านแถวนี้ ผมมีความสุขที่จะเดินไปทำงาน และเดินกลับบ้าน"

มีครอบครัวหรือยัง

"มีแล้ว ผมแต่งงานตอนปี 2540 ค่าเงินกำลังลดพอดี มันไม่มีอะไรทำจริง ๆ คนก็ถูกลด ก็เลยแต่งงานดีกว่า (หัวเราะ)"

ทำงานมาสักระยะเริ่มมีชื่อเสียง คนอื่นก็คิดว่าคุณมีเงินเยอะ แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น แล้วมีวิธีจัดการชีวิตอย่างไร

"ผมเชื่อว่าถ้ามีชื่อเสียงก็จะมีเงินตามมา มันเป็นผลพวงตามกัน"

เงินตามมาจากอะไร เพราะรายได้ก็มาจากแหล่งเดียว จะไปโฆษณาเหมือนดารา สถานีก็มักไม่อนุญาต

"ที่นี่อาจจะทำได้ แต่สำหรับที่นี่ต้องขออนุญาตก่อน เช่นกระทรวงสาธารณสุขมาเชิญคุณอ๋อย-กฤษณะ รณรงค์เรื่องอุบัติเหตุ อย่างนี้ได้ แต่ถ้ามียาแก้ไอมาติดต่อผม อันนี้ต้องดูก่อน ขึ้นอยู่กับบริษัท เพราะผมก็คือสินค้าของบริษัท ที่เป็นอย่างนี้เพราะอาชีพข่าวมันไม่เหมือนอาชีพพระเอก-นางเอก เราต้องอยู่กับความน่าเชื่อถือ เพราะอาชีพเราคือเสนอข่าว สิ่งที่พูดออกไปคนฟังจะเชื่อถือ แต่ถ้าสมมุติว่าคุณตอบรับเป็นพรีเซนเตอร์ขึ้นมา ตอนหลังพบว่ายาตัวนี้ย้อมแมว ทีนี้คุณจะวางตัวเวลาสัมภาษณ์อย่างไร คนดูจะเชื่อคุณพูดไหม มันเสียหายต่อเราได้ ดังนั้น ผู้ใหญ่จึงต้องช่วยตัดสินใจ"

แล้วอย่างนี้คนในองค์กรทำอย่างไร เพราะเมื่อเริ่มมีชื่อเสียง แต่บริษัทกลับบอกว่า จะทำอะไรต้องขออนุญาตก่อน

"เด็กที่นี่น่ารักครับ พูดก็เข้าใจ บางทีเดินเข้ามาบอกผม 'พี่ เพื่อนติดต่อให้ไปเป็นพรีเซนเตอร์สารคดีสั้นสามนาทีได้ไหม' ผมตอบไปว่าถ้าเป็นช่องเราได้ทันที ถ้าช่องอื่นต้องไปขออนุญาตบริษัทก่อน บริษัทก็ไม่ถึงกับปฏิเสธทุกเรื่องตลอดเวลา"

ทำงานก็หนัก เหนื่อยขนาดนี้ ชื่อเสียงก็มี แต่กลับโฆษณาไม่ได้ แต่บ้านต้องซื้อ รถต้องมี จะทำอย่างไร

"จริง ๆ ที่เนชั่นมีเงินเดือนให้ ซึ่งผมคิดว่าอยู่ได้ ไม่น้อยหน้าที่อื่น ไม่กดขี่หรอกเชื่อเถอะ อย่างผมแม้เงินเดือนไม่มาก แต่ครองชีพได้สบาย"

ต้องสมถะ หรือว่ามีความฟุ่มเฟือยได้บ้าง

"พูดลำบาก เพราะบังเอิญผมเป็นคนสมถะ ผมไม่บังคับตัวเอง แต่ไม่ถึงกับอยากได้อะไรก็ได้ แต่ถ้าถามว่าวันนี้อยากซื้อรถได้ไหม ตอบว่าได้ ไปต่างประเทศได้ไหม ก็ได้ ไม่ลำบาก แต่ไม่ไป เพราะกลัวเครื่องบิน (หัวเราะ) อย่างฟุตบอลก็ไม่จำเป็นต้องไปดูต่างประเทศ เขาอุตส่าห์เสียเงินถ่ายทอดสดมาแล้ว จะไปดูให้ไกลทำไม ถ้าจะให้ผมไปคงต้องรอรถไฟฟ้าไปถึงก็แล้วกัน เคยบินไปแค่อุดรธานี ผมก็แย่แล้ว กลัวความสูง ต้องส่งผู้บริหารไปประกบผม ได้ที่นั่งดีอีก ริมหน้าต่าง เห็นเมฆเป็นก้อน ๆ เลย"

คุยกันมาเยอะเรื่องหลักการของการอยู่ร่วมกันขององค์กร การสร้างคน ทีนี้ พอเกิดกรณีคุณสรยุทธ มันอธิบายความว่าอย่างไร มันพังความเชื่อทั้งหลายทั้งปวงที่เราพูดมาทั้งหมดไหม เพราะครั้งนี้ผู้ใหญ่ที่เป็นหน้าเป็นตาของสถานีทำเสียเอง แทนที่จะเป็นเด็กเหมือนเมื่อก่อน

"กรณีคุณสรยุทธเกิดขึ้นเพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะว่าเขาอยู่มานาน สิบห้าปี ก็เหมือนลูกหม้อของทีมแมนฯ ยูฯ เดวิด เบ๊คแฮม แค่มีข่าวว่าจะย้ายทีมก็กลายเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ เพราะว่าเขาคือลูกหม้อ แต่ถ้าถามว่าเขามีสิทธิไปไหม เขามีสิทธิไป ผมมองว่าเป็นจุดที่คนดูไม่เคยคิดมาก่อนมากกว่า แต่โดยส่วนตัวผมคิดมาก่อน คุณก็คงไม่คิดว่าผมกับคุณสรยุทธจะจัดรายการไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย มันเป็นไปไม่ได้ ผมเคยจัดรายการวิทยุมาก่อน ตอนนั้นเปลี่ยนคลื่นทุกปี บางรายการแค่ครึ่งปีก็ต้องเปลี่ยน ดังนั้น ผมจึงชินมากกับการเปลี่ยนแปลง และเตรียมพร้อมเสมอ ผมคิดเลยว่าถ้าผมไม่ได้จัดก็ไม่ถึงกับต้องฆ่าตัวตาย แรก ๆ อาจจะฟุ้งซ่าน ตอนหลังก็ทำใจได้
ครั้งหนึ่งผมกับคุณสรยุทธก็เคยไม่ได้ออกรายการทั้งคู่ ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร สำหรับกรณีคุณสรยุทธครั้งนี้ ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่มันมาเร็วกว่าที่คิด แต่ทำใจไว้แล้ว รู้ว่าสักวันหนึ่งต้องไม่ได้จัดรายการด้วยกันแน่นอน ไม่มีช่องให้จัด หรือคุณไป ผมไป มันต้องเกิดขึ้น แต่คนดูส่วนใหญ่ไม่คิดอย่างผม จึงมองเป็นเรื่องใหญ่เท่านั้นเอง"

กลับมาที่เรื่องปรัชญาขององค์กร การไปของคุณสรยุทธมันสั่นคลอนความเชื่อมั่นในปรัชญาขององค์กรบ้างไหม

"มันทำให้อะไรที่ไม่เคยคิดมาก่อนก็ต้องคิด ไม่ถึงกับเป็นปัญหา แต่กรณีนี้ทางผู้บริหารคิดมาก่อน ผมคิดมาก่อน คิดในแง่ของปรัชญาที่ว่าวันหนึ่งเราต้องไม่ได้จัดด้วยกันตลอดไป แม้จะไม่เคยคุยกับคุณสรยุทธเรื่องนี้ตรง ๆ แต่เป็นเพราะประสบการณ์มากกว่าที่ทำให้คิด ซึ่งต่อไปนี้ก็คงคิดมากขึ้นด้วย"

ทีนี้จะทำอย่างไร สถานีสร้างคนเหล่านี้ขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นดาราของสถานี เป็นเอกลักษณ์และจุดเด่นของรายการ แต่พอสร้างแล้วไปหมด เพราะเป็นดาราแล้วมีข้อต่อรองเยอะ

"ไม่เป็นไรหรอก มันกลายเป็นหน้าที่ของเราแล้ว ที่นอกเหนือจากการทำข่าวก็คือการสร้างคน แล้วชาวบ้านรู้ ถ้ามันเกิดกรณีคุณสรยุทธ ผมว่าเนชั่นมีสิทธิภาคภูมิใจ เหนื่อย แต่ช่วยไม่ได้ เราทำไม่ได้ที่จะจับมาเซ็นสัญญาอยู่กับเราสิบห้าปี ห้ามไปไหน ไม่มีทางหรอก"

ทำไมไม่มีการเซ็นสัญญาเหมือนต่างประเทศ

"อย่าไปทำอย่างนั้นเลย ประเทศไทยก็มีระบบของเรา บางสถานีอาจทำแต่ที่นี่ยังไม่เหนื่อย พอที่จะสร้างคนต่อไป ยังมีแรงอยู่ ใครจะไปรู้ว่าผู้บริหารของเรา อาจจะดูคุณสรยุทธด้วยความภาคภูมิใจอยู่ก็ได้"

ดูคุณกับคุณสรยุทธเมื่อคืนจัดรายการคนละช่อง แต่เหมือนกันมาก มันไม่ภูมิใจ แต่รู้สึกกังขา ในแง่ที่ว่าคุณสรยุทธเคยทำคมชัดลึกที่เนชั่นมาก่อน แต่พอย้ายไปไม่กี่วันก็เกิดรายการที่เหมือนกันมากอย่างรายการ 'ถึงลูกถึงคน' นอกจากลักษณะรายการแล้ว แขกรับเชิญยังเป็นคนเดียวกันอีก ต่างแค่เวลานิดหน่อย

"ถ้าในแง่ส่วนตัวกังขาไหม ผมขอไม่ตอบ มันเป็นมาอย่างไรรู้ไหม คุณสรยุทธเขาถูกสร้างมาจากสำนักเดียวกัน คือเส้าหลิน พอมาเจอเพลงมวยเดียวกัน ไม้ตายที่คุณจะชนะเพลงมวยเพลงนี้ก็ต้องไม้เดียวกัน ไม่ใช่ของแปลกอะไร ต้องเจออยู่แล้ว "

ถ้ากลับกัน เป็นคุณบ้าง ช่อง 9 ยื่นข้อเสนอมาแบบนี้ ลักษณะรายการ 'ถึงลูกถึงคน' แบบนี้จะทำไหม

"ผมไม่เคยคิดจะเดินออกไปเลย ยังไม่ต้องสมมุติถึงขนาดนั้น เพราะผมสนุกกับที่นี่ มีคนติดต่อมาตลอด แต่ผมปฏิเสธทันที 'ไม่ไปหรอก คุยกับเจ้านายของผมก็แล้วกัน' บางทีก็ไม่ใช่การดึงตัว เป็นแค่การเข้าไปช่วยเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ไป ตอนหลังไม่มีใครเขามาชวนแล้ว เพราะลูกน้องปฏิเสธแทน จนบางทีผมต้องแซวว่า ทำไมมึงไม่ถามก่อนว่าให้เท่าไหร่ บางทีกูอาจจะไปก็ได้นะ (หัวเราะ) แต่จริง ๆ คือ ไม่ไปหรอก ภาพของผมมันกลายเป็นสัญลักษณ์ของเนชั่นไปแล้ว"

แล้วอะไรที่มันทำให้คนต่างกัน คุณสรยุทธอยู่มานานกว่าคุณกนกเสียด้วยซ้ำ อะไรที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปฏิเสธ ส่วนอีกคนหนึ่งไปทันที

"มีเหตุผลอยู่สองข้อ ข้อแรก คือ อุปนิสัยส่วนตัว กับข้อที่สอง ช่วงเวลาที่ต่างกัน ผม ณ เวลานี้ คุยกับคุณตอนนี้ปี 2546 อีกห้าปีคุณมาหาผม ผมไม่รู้ว่าจะอยู่หรือเปล่า คุณเชื่อเถอะ ผมก็จะไม่อยู่อย่างนี้ เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน คือบางอย่างมันตอบไม่ได้"

อ่านบทสัมภาษณ์จากมติชนซึ่งนำมาจากรายการ 'ที่นี่ประเทศไทย' เห็นคุณสรยุทธบอกว่า โอ๊ย กนกเอ๋ย คิดถึงเหลือเกินแล้ว คุณคิดถึงหรือมีอะไรอยากจะฝากไปถึงเขาไหม

"ก็คิดถึงเขา รู้จักกันมานาน เพราะจัดรายการมาด้วยกัน แม้ไม่สนิทกันมาก แต่เรารู้ทางกัน คือถ้าเลี้ยงบอลมาทางนี้พี่ไปเฝ้าหน้าประตูได้เลย ในทางกลับกัน เขาก็รู้สไตล์ของผมว่าจะไปทางไหนเหมือนกัน พูดลำบากนะเรื่องนี้ ผมไม่เคยให้สัมภาษณ์ใคร มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับบอกว่าขอตรงนี้ได้ไหม ผมไม่พูด เอาเป็นว่าผมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในจอทีวี ที่มาที่ไปของราการที่นี่ประเทศไทยในวันนั้นก็แล้วกัน ส่วนตัวคุณสรยุทธทุกวันนี้เป็นคนเก่ง มีความสามารถ ส่วนหนึ่งอาจมาจากผลผลิตของเนชั่นที่คุณสุทธิชัยฝึก แต่อีกส่วนหนึ่งก็มาจากพรสวรรค์ บวกกับความมานะของเขาที่ทำให้มีวันนี้ได้"

คุณมีโอกาสได้คุยกับคุณสุทธิชัยไหมหลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เนชั่นจะปรับท่าทีอย่างไร

"เป็นอย่างนี้ สูตรใหม่จะมีคุณธีระมาจัดกับผม แค่นั้นเอง เราก็แค่เปลี่ยนสูตรน้ำจิ้มรสเด็ดใหม่ ไม่มีปัญหาหรอก เชื่อเถอะ สำหรับผม ทีวีมันทำอะไรได้อีกมาก ไปติดเสาแล้วคุณจะรู้ว่านอกเหนือจากเก็บตก อาจจะมีรายการดี ๆ อีกมากก็ได้"

ปีนี้คุณกนกอายุเท่าไหร่แล้ว

"ผมย่างสี่สิบปีแล้ว"

คนอายุสี่สิบทำรายการที่รักมาสักระยะหนึ่ง มีชื่อเสียงมากพอสมควรแล้ว มองไปข้างหน้าฝันอะไรบ้าง

"สำหรับผมไม่ได้ฝันอะไรแล้ว สมัยเรียนผมอยากทำงานที่แสดงความเห็น เขียนหรือพูดได้ทั้งนั้น ตอนนี้มันลงตัวแล้ว เคยได้ทำรายการวิทยุมาก่อน จนมาอยู่กับโทรทัศน์ ได้สอดแทรกความเห็น ความคิดเจ็บ ๆ แสบ ๆ ก็รู้สึกดีมาก ผมไม่ได้มองไปไกลเลย แค่ตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากกว่า ผมแค่อยากรู้ว่ารายการทีวีต่อไปจะเป็นอย่างไร รถไฟฟ้าจะไปถึงพัทยาไหม โรงหนังจะเป็นอย่างไรในอนาคต ได้ติดต่อกับคนอีกฝั่งของโลก ข่าวนี้ใครมั่ว ใครโกหกกันแน่ แค่นี้ก็สนุกมากแล้ว"

ทำงานหนักขนาดนี้ จัดการชีวิตครอบครัวอย่างไร

"โชคดีที่ภรรยาผมเป็นคนที่นี่ เขาจึงเข้าใจผม ว่าอาชีพนี้ก็เหมือนหมอ ฝนกำลังตก ๆ แต่ถ้ามีคนไข้ก็ต้องลุกไปตรวจ เหมือนกัน นอน ๆ อยู่เครื่องบินดันไปชนตึก ก็ต้องลุกไปทำข่าว ช่วยไม่ได้"

มีท้อบ้างไหม ทำเนชั่นมาจนมีวันนี้ แต่พอย้ายช่องแล้วคนดูหายไปต่อหน้าต่อตา

"ท้อมาก ทุกวันนี้เสียใจสำหรับเรื่องนี้ ที่ผมเกลียดมากที่สุดก็คือคนในวงการเดียวกันทำตัวไม่น่ารัก ไม่น่าเชื่อนะ พอปีใหม่เอาดอกไม้มาให้ บอกว่าเป็นแฟนคุณกนก ดูทุกเช้าเลย แต่เบื้องหลังผมรู้ว่าคุณบล็อกเรา ปล่อยข่าวไม่ดีว่าผมจะไปอยู่ช่องอื่นบ้าง ทำให้ผมคิดมาก มีผลต่อรายการ ต่อสถานี แล้วบังเอิญคนนิสัยไม่ดีพวกนี้เป็นคนมีอำนาจ มีอะไรเหนือเราเสมอ ที่เหนื่อยก็ตรงนี้แหละ เพราะคนพวกนี้มีอยู่เยอะ คิดแล้วก็เจ็บปวด คือผมเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดเวลาอยู่หน้าจอ แม้จะมีหลังจออีกเยอะ แต่ท่านผู้ชมเชื่อเถอะว่าที่ผมพูดมันเป็นตัวตนที่แท้จริงของผมเกือบร้อยเปอร์เซนต์ แต่สิ่งที่ไม่ได้พูดมันควรอยู่หลังจอ ผมไม่อยากให้ใครรู้ เพราะบางทีห้าเปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่มันสำคัญมาก ซึ่งผมหวังว่าวันหนึ่งผู้บริโภคในเมืองไทยจะคิดเป็นว่า คุณกนกพูดแล้วยิ้ม พูดแล้วไม่พูดต่อ เพราะอะไร เพราะถ้าพูดอาจมีปัญหาจึงไม่พูดตรง ๆ แม้ว่าอยากพูดให้ตรงกับตัวเราร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็ทำไม่ได้"

ที่ทางสำหรับคนทำอะไรจริงจังตามความเชื่อและมีจุดยืน ไม่แกว่งไกวไปตามแรงบีบทางการเมือง ตอนนี้มันเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ไหมในความคิดของคุณ

"ผมรู้สึกว่าเหลือน้อย แต่ไม่ถึงกับไม่เหลือเลย ผมคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะไม่เหลือที่ยืน คุณก็จะไม่เชื่อว่าเราเตรียมพร้อมตลอด การติดต่อสื่อสารมันต้องมีอยู่แล้ว อย่าลืมว่าคลื่นมันอยู่ในอากาศ ดังนั้น การแสดงความคิดเห็นมันไม่ใช่แค่หาห้องเท่านั้น ขอแค่มีคลื่น ต้องอย่าลืมว่าคลื่นเป็นของสากล ไม่ใช่มีคลื่นเฉพาะประเทศไทยประเทศเดียวเท่านั้น ถ้าประเทศไทยทำไม่ได้ก็จะไปจัดรายการที่ดาวอังคาร ให้รู้แล้วรู้รอดไป (หัวเราะ)"

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

About This Blog

  © Blogger template The Beach by Ourblogtemplates.com 2009

Back to TOP