ผู้ติดตาม

ค้นหาบล็อกนี้

กบฏที่กำลังเป็น "ปลาปากแห" ให้ทหาร

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กรุงเทพฯ ประกาศเป็นสัปดาห์ "หยุดงาน-กวาดกบฏ" ตั้งแต่จันทร์ที่ ๑๗ พ.ค.-อาทิตย์ที่ ๒๓ พ.ค.๕๓ ถ้าถามว่า "แน่นะ...จันทร์ที่ ๒๔ พ.ค. ชีพจรเมืองจะเดินปกติ?" ผมก็ว่า ถึงวันนั้น "น่าจะปกติ" แต่ถ้ายัง...แสดงว่าต้องมี "ปาฏิหาริย์เหนือวิกฤติ" เกิดขึ้น แต่ไม่ต้องไปสนใจเรื่องปาฏิหาริย์ ที่ควรสนใจคือ จากจันทร์หน้าเป็นต้นไป เราจะไม่เห็น "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" อีก แต่จะเห็น "การทหารและการเมือง" นำบ้านเมืองออกจากฝันร้ายด้วย "โครงสร้างใหม่ๆ" ร่วมกันในระบบรัฐสภา
และนั่นคืออะไร...ผมก็ไม่ทราบ เพียงแต่ "ภาวะเหนือความเข้าใจ" บางอย่าง...กระซิบบอก!?
เมื่อพฤษภาคม ๒๕๓๕ คือเมื่อ ๑๘ ปีที่แล้ว เราเกิด "พฤษภาทมิฬ"
และวันนี้ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตัวเลขเดียวกัน แต่กลับกันจาก ๓๕ มาเป็น ๕๓ เราเกิด "พฤษภา-มหานรก" ถ้ามองในมุมรหัสดาว ก็ไม่น่าแปลกใจตามวงรอบดาวเสาร์ ซึ่งคุยกันไปแล้วว่า เสาร์รอบนี้เป็น "เสาร์รอบเช็กบิล" ใครทำดี ชีวิตอยู่ในศีล-ในธรรม ก็ถึงคราวชีวิตนำสุขมาสู่อันไม่เคยประสบเช่นนี้มาก่อน
แต่ถ้าใครทำชั่ว ชีวิตเกลือกกลั้วอยู่กับความเลวร้าย ก็ถึงคราววิบัติ ฉิบหาย-ตายจาก พรัดพราก ราพณาสูร วงจรชีวิตจะมีแต่โศกาอาดูร สิ่งที่เพิ่มพูนคือทุกข์ถมทุกข์!
ขณะนี้ รัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพ เขาก็คือตัวแทน "ดาวเสาร์" มาทำหน้าที่เช็กบิล "มนุษย์บุญ-มนุษย์บาป" ไม่มีความหมายอะไรที่พวกกบฏแผ่นดิน ปากก็ตะโกนว่า "รัฐบาล-ทหารฆ่าประชาชน"
แต่มือพวกมัน...ฆ่าทหาร-เผาเมือง พยายามล้มสถาบัน เปลี่ยนระบอบ กระทำทารุณ โหดร้าย ป่าเถื่อน กับพี่น้องประชาชนร่วมชาติอันไม่เคยปรากฏว่ามนุษย์เมืองไหนจะทำกับบ้านเมืองตัวเองอย่างที่ "กบฏทักษิณ" กำลังทำ!
รัฐบาล-ทหาร ไม่ได้ฆ่าประชาชน.....
แต่ฆ่าผู้ก่อการร้ายที่ทำลายเมือง เป็นการพิทักษ์ชาติ-ประชาชน!
ฝ่ายกบฏก่อการร้ายจะยอมเจรจา หรือไม่ยอมก็ตาม เมื่อมาถึงจุดนี้ คือจุดที่ "ไม่มีใครแพ้-ชนะ" เพราะแพ้ด้วยกันทั้งประเทศอยู่แล้ว รัฐบาล-ทหาร จะอ่อนข้อ-รามือเปิดโอกาสให้สัตว์ป่าเลียแผลไม่ได้ เพราะเห็นมาตลอดแล้วว่า "สัจจะไม่มีในหมู่โจร" เจรจากับโจรก็เจรจาไป แต่ฝ่ายรัฐต้องเป็นฝ่าย "หยัดอยู่-ชูกฎหมาย"
ไม่ใช่ให้โจรมาต่อรองนอกกรอบกฎหมาย ซึ่งจะทำให้อีกหลายกลุ่ม-หลายพวกในขบวนการยกเป็นเงื่อนไขมาต่อรองบ้างในโอกาสต่อไป และนั่นก็จะทำให้คำว่า "๒ มาตรฐาน" ถูกโจรไร้ยางอายเวียนนำมาใช้ยามไม่ได้อย่างใจอีก!
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.มาทำหน้าที่ตัวกลางในการเจรจาหาทางสงบศึกระหว่างกบฏกับรัฐบาล ไหนๆ ก็ทำดี เป็นสัญลักษณ์แห่งประสานสามัคคีอยู่แล้ว แต่ทำไมแม่ปูต้องแยก-แตกสามัคคีเป็นกลุ่ม ๖๔ ส.ว.บ้าง กลุ่ม ๔๐ ส.ว.บ้าง ไปทำหน้าที่ตัวกลาง กลุ่มใคร-กลุ่มมัน
เห็นแล้ว วุฒิภาวะแห่งวุฒิฯ จะมีตำหนิไปหน่อยนะครับ!
ในการปราบกบฏที่มีกองกำลังก่อการร้ายเป็นหน่วยรบนั้น ก็ชัดแล้วว่า "หัวหน้าผู้ก่อการร้าย" อยู่นอกประเทศ ขณะนี้อยู่กันพร้อมหน้าทั้งพ่อ-แม่-ลูก ช็อปปิ้งกันเพลินที่ฝรั่งเศส แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ผมอยากจะบอก ที่อยากจะบอกคือ ยุทธการปราบกบฏครั้งนี้
ต้องใช้ระบบ "สื่อสารสังคม" ให้มาก!
โจรอยู่เรือนพุธ โจรก็ปากเก่ง แต่พุธถึงอาทิตย์ถึงพฤหัสฯ สู้ปากรัฐบาลไม่ได้ เพราะเป็นปาก "สีผึ้งเสก" ฉะนั้น พูดอะไร สังคมจะให้น้ำหนักในการเชื่อถือมากกว่า เพราะฉะนั้น การจะให้ชนะศึกทั้งในสนาม และทั้งในสนามสังคมโลก ศอฉ.จะต้องเป็นมิตรกับสื่อ และใช้การสื่อสาร "ออกข่าว-ออกจอ" เป็นประจำ
ดาวพุธของหัวหน้าโจรก่อการร้ายเสีย แต่ดาวพุธในดวงเมืองขณะนี้ รัฐบาล-ทหารกำลังดีวัน-ดีคืน และผมเชื่อว่า เสร็จศึกสนามแล้ว ต่อไปฝ่ายกบฏจะเปิดศึกทางมวลชนผ่านระบบสื่อ ฟ้องโน่น-ฟ้องนี่ ทั้งใน-นอกประเทศ โดยบิดเบือนทั้งเอกสาร ทั้งภาพ ให้ปรากฏว่า "รัฐบาล-ทหาร ฆ่าประชาชน"
พยานบุคคลที่เป็น "คนกลาง" สำหรับใช้อ้างอิงว่า "ใครพูดตรง-ใครพูดบิด" ได้ดีที่สุดคือ สื่อมวลชนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น นักข่าว-ช่างภาพ-ช่างกล้อง ที่ติดตามอยู่ในแต่ละเหตุการณ์ใกล้ชิดตลอด และนั่น ฝ่าย ศอฉ.ซึ่งปฏิบัติการเปิดเผยท่ามกลางการจับตาของสื่อมวลชน น่าจะรวบรวมรายชื่อ สังกัด สถานที่ติดต่อ ของสื่อมวลชนนั้นไว้ทั้งหมดในฐานะ "สื่อร่วมศึก"
เพราะสื่อมวลชน "คนกลาง" นี่แหละ เมื่อถึงคราวชี้ขาด สามารถบอกได้จากเหตุการณ์ที่ "เห็นด้วยตา" ตัวเองว่า อะไรใช่...อะไรไม่ใช่!
ผมสังเกตว่าพวกกบฏเขารู้ และฉลาดในการยืมมือสื่อสร้างความชอบธรรม ฉะนั้น บางอ่านอาจสงสัยว่าตอนกลางวันโล่งๆ ทำไมกองกำลังกบฏทักษิณจึงเผยตัวให้เห็นตอนยิงหนังสติ๊กบ้าง ตอนเข็นยางมาเผาบ้าง ตอนจุดพลุ-จุดตะไลบ้าง ที่ว่าอาวุธร้ายแรงก็แค่ทำระเบิดขวดให้นักข่าว-ช่างภาพบันทึกเป็นภาพไปเผยแพร่
ไม่เห็นมี "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" มือระเบิดเอ็ม ๗๙ มือเอ็ม ๑๖ มือดักสังหาร มือแม่นปืน อย่างที่พูดกันแต่อย่างใด?
นี่ไง...ที่ผมว่ายุทธศาสตร์ทางสื่อที่พวกกบฏใช้ พวกกบฏจงใจแอคชั่น "ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ" มีเพียงหนังสติ๊กเป็นพื้นสู้กับฝ่ายทหารปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ ตามหน้าจอโทรทัศน์ ตามบรรทัดข่าวที่นักข่าวรายงานออกไป เพื่อสนับสนุนการปลิ้นปล้อนบนเวทีของแกนนำที่ว่า
ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ-ไม่มีใครตาย, แต่ทหารมีปืน-ประชาชนตาย!
แต่พอมืดค่ำ มันดับไฟหมด เอาล่ะตานี้ มือระเบิด มือซุ่มยิง มือปืน เรียกว่าสารพัดอาวุธสงคราม โจรก่อการร้ายฝ่ายกบฏมันขนออกมาเป็น "มือฆ่ามุมตึก" ทั้งยิงใส่ ทั้งปาระเบิด ทั้งเผา เรียกว่าฆ่าไม่เลือกหน้า พวกทหาร หรือพวกชาวบ้าน "ขอให้ตาย" ถือว่าสะใจกูแล้ว
นั่นคือ ผู้บาดเจ็บและตาย ส่วนหนึ่งมาจาก "มือฆ่ามุมตึก" อันยากที่ช่างภาพ-ช่างกล้องจะจับภาพมาให้เห็นชัดๆ เหมือน "ยิงหนังสติ๊ก" ตอนกลางวันได้ แต่ในข้อเท็จจริงอันเป็นที่ประจักษ์ นักข่าวในภาคสนาม รับรู้ได้ด้วยตา ด้วยวิญญาณนักข่าวถึง "มือฆ่า" ที่อยู่ข้างหลังของมือหนังสติ๊ก!
สมมุติว่ารัฐบาล-ทหารกระหายเลือด จงใจฆ่าคนเผาบ้าน-ทำลายเมืองจริงๆ แล้ว ๗ วัน มีคนตาย ๓๖ คน บาดเจ็บกว่า ๒๐๐ คน ต้องไล่ออกทั้งกองทัพ เพราะแสดงว่าฝีมือและสมรรถภาพห่วยมาก แต่ในข้อเท็จจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ที่ตาย-เจ็บแค่นั้น เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะแสดงชัดว่า
ทหาร-หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ-ล้มตายจนถึงที่สุดแล้ว!
มิคสัญญีเมืองขนาดนี้ รัฐบาล-ทหาร ถนอมชีวิตคนเผาเมืองได้มากกว่าที่คาดว่าน่าจะสูญเสีย เราควรจะมองมุมนี้มากกว่าไปเพ่งเล็งในมุมลบ ถ้าจะเพ่งเล็ง ต้องไปดูเหตุการณ์ที่ตากใบ และที่กรือเซะ ทักษิณสั่งฆ่าทีเดียวร่วมร้อยศพ นั่นเป็นตัวเลขสูญเสียที่ประชาชนเห็นว่า...
ไม่มีเหตุผลที่ต้องสูญเสียเลย!
หรืออย่างสงกรานต์ที นั่งนับศพกันได้ปีละ ๓๐๐-๔๐๐ ศพ ภายใน ๗ วัน ปีแล้ว-ปีเล่า "ตายนับร้อยทุกปี" แล้วตัวเลขมากมายขนาดนี้มีใครนำความสูญเสียรายปีมาเป็นต้นทุนแก้โจทย์บ้าง?
ฉะนั้น ตัวเลขไม่ใช่คำตอบของคำว่า..ใช่-ไม่ใช่ แต่ตัวเลขนั้นต้องดูว่า "สะท้อนถึงเหตุผล" เช่นใด!?
ผมก็อนุโมทนาที่วุฒิสมาชิกส่วนหนึ่งเป็น "ตัวตั้ง-ตัวตี" ประสานสงบศึก ความจริง แค่แกนนำสั่งสลายการชุมนุมทุกอย่างก็จบ ไม่ต้องไปเกี่ยงงอนให้ทหารเขาหยุดยิง หรือถอนกลับที่ตั้ง
เพราะปกติทหารเขาก็ไม่ยิงใครอยู่แล้ว ผิดกับพวกกบฏที่บ้าคลั่ง ดิบ-เถื่อน-โหด ทำร้ายประเทศ ทำลายชีวิตสังคมประชาชาติทั้งเมือง เผายาง-ปิดถนน-ค้นรถ-ค้นโรงพยาบาล-ฆ่ากระทั่งคนกาชาด-ปล้นสะดมร้านค้า-ทุบตู้เอทีเอ็ม ฯลฯ
นี่มันพฤติกรรมโจรก่อการร้าย "ปล้นบ้าน-เผาเมือง-ฆ่าประชาชน" มีโทษตาย-โทษตลอดชีวิตเกือบทั้งนั้น แล้วยังจะมีหน้าไปต่อรองให้รัฐบาล-ทหารเขา "หยุดทำหน้าที่" พิทักษ์บ้าน-ปกปักประชาชนอีกหรือ?
"สะพานข้ามเหวนรก" ที่ ส.ว.ทอดให้นั้น เป็นทางสุดท้ายแล้ว ถ้าบรรดา "กบฏฮาร์ดคอร์" ทั้งหลายยังไม่ยึดไว้เป็น "ทางหนีตาย" ผมเกรงว่าจะตายเอาจริงๆ เพราะจะเห็นว่า "รัฐบาล-ทหาร" ถอดเกียร์ถอยหลังทิ้งไปแล้ว พวกคุณมัน "โจรไม่มีสัจจะ" พูดจาเชื่อถือไม่ได้ ฉะนั้น ครั้งนี้กบฏต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
กบฏ-เสียมวลชน.....
แล้วมีหรือ "รัฐบาล-ทหาร" จะอ่อนข้อ "จากได้" ให้กลายเป็นเสีย!

Read more...

"การทหาร-ทหารเมือง" ต้องนำบ้านเมืองอีกครั้ง?( เปลว สีเงิน )

อืมมมม...หยุดไปนอน "กระชับพื้นที่" เมื่อวันเสาร์มา ๑ วัน ก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิม เคอร์ฟิวยังมีต่อนะครับ เมื่อคืนและคืนนี้ (๒๔ พ.ค.๕๓) แต่เป็นมินิ-เคอร์ฟิว คือร่นเวลาออกไปเป็นตั้งแต่ ๕ ทุ่ม ถึงตี ๔ ต่อจากนี้ คงไม่ต้องนอนผวากันมากนัก เพราะ ศอฉ.จัดกำลังตั้งด่านตรวจตามจุดใหญ่ๆ พร้อมทั้งส่ง "สารวัตรทหาร" ตระเวนเป็น "นายตรวจพระนคร" ทั้งชั้นใน และปริมณฑล ส่วนเคอร์ฟิวจะต่อหรือจบกันแค่นั้น คงต้องรอดูสถานการณ์เป็นวันๆ ไป!
อีกเรื่องที่ควรทราบ ศอฉ.จะย้ายกองบัญชาการใหญ่ จากราบ ๑๑ รอ.บางเขน มาอยู่ที่ "กองบัญชาการกองทัพบก" ถนนราชดำเนิน ตั้งแต่วันจันทร์นี้แล้ว และใครที่เป็นแฟน "พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด" ไม่ต้องกลัวว่า "ผู้ก่อการรัก" ท่านนี้จะหายหน้าไปกระชับพื้นที่ที่อื่น ยังคงอยู่ให้ท่านตามกระชับสายตา สลับกับ "โฆษกหน้าตาย" ดร.ปณิธาน วัฒนายากรทางหน้าจอ "รวมการเฉพาะกิจ" เหมือนเดิม
ชมรมจิตอาสา ชาว FB นี่นอกจากน่ารักแล้ว ยังทำหน้าที่ "แกนสังคมคนรุ่นใหม่" ได้อย่างมีความหมายมาก เมื่อวันอาทิตย์ ทาง กทม.ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ท่านจัด บิ๊ก คลีนนิ่ง เดย์ ขึ้น คือระดมเจ้าหน้าที่ กทม.มาล้างคราบเสนียดเมือง
กับซากบัดซบที่ "กบฏทักษิณ" มนุษย์ทรามทิ้งไว้ให้ ลำพัง กทม.ทำได้ แต่คงต้องใช้เวลานานหลายวัน แต่ปรากฏว่า ในความสูญเสียร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศนี้ มีพี่น้องร่วมชาติพกความเจ็บปวดที่ต้อง "เอาชนะร่วมกัน" รวมทั้งชมรมจิตอาสา และหนุ่ม-สาวชาว FB ได้นัดแนะรวมใจกันออกมาเป็น "มหาประชาสังคม"
"เช็ดคราบน้ำตา" ให้เมืองกรุง!
ชาติบ้านเมืองเราคือ "มรดกบรรพบุรุษ" ที่พินัยกรรมระบุไว้ คนไทยทุกคนคือผู้ได้รับผลประโยชน์ เมื่อเห็นหนุ่ม-สาว "คนรุ่นใหม่" ยามมีภัยมา กลับรวมตัว รวมใจสามัคคีทำหน้าที่ ทั้งต่อต้าน ยอมสละทั้งสุข และทั้งชีวิตตัวเองด้วยความหมาย "ถึงตัวไม่อยู่-ชาติต้องอยู่" เช่นนี้
เห็นที "เฒ่าสยาม" ทั้งหลาย คงตายตาหลับ!
หนุ่มสาว-เฒ่าแก่ทั้งหลายเอ๋ย...จงมองข้างหน้า อย่าอาลัยหลังจนเกินเหตุ จงใช้สิ่งที่เสียเป็นพลังกระตุ้นจิตรัก จิตอภัยให้กัน สร้าง "สังคมใหม่" ด้วยบทเรียนอภัยจากใจนั้น ผมสังเกตว่า พวกเราทั้งหลายขณะนี้ พกความคับแค้น ขึ้งเครียด เอาไว้มาก ซึ่งผมเข้าใจ และผมก็ไม่ต่างไปจากท่าน แต่ผมอยากให้ความคิดไว้อย่างหนึ่งว่า
สำหรับสิ่งที่ "ตัดไม่ตาย-ขายไม่ขาด" ยังไงๆ ก็ต้องอยู่ "ร่วมชาติ-ร่วมแผ่นดิน" เราก็ต้อง "ตัดแค้น-ตัดอาฆาต" พลิกจากศัตรูให้มาอยู่ฉันมิตร-ฉันญาติ
เหมือนกติกาในวงนักเลง คนไหนที่ฆ่าไม่ได้ ก็ต้องผูกใจไว้เป็นพวก!
กับงาน "สร้างสังคมใหม่" ซึ่งเป็นงานใหญ่ ใครฝ่ายเดียว จะกองทัพ หรือรัฐบาลโดยลำพังก็สร้างไม่ได้ จะต้อง "มหาประชาสังคม" เท่านั้น
และมหาประชาสังคมวันนี้ พวกท่าน...หนุ่ม-สาว ในความหมาย "คนรุ่นใหม่" เท่านั้น จะให้ไฟ ให้พลัง ให้ความหวังกับประเทศชาติผ่าน "สังคมใหม่" ได้สำเร็จ
และเคล็ดลับสู่ความสำเร็จคือ "งานใหญ่-อย่าหยุมหยิมกับเรื่องย่อย"!
ไม่เช่นนั้น ความหยุมหยิมกับเรื่องย่อยจะทำให้เหมือนมดติดก้อนน้ำตาล เดินไม่ผ่านทะลุไปถึงแหล่งผลิต!!!
กะแค่ตำรวจเอาตัวหัวโจกขบวนการก่อการร้าย "กบฏทักษิณ" ไปควบคุม โดยปล่อยงับโอโซนชายทะเลอยู่ในบ้านพักค่ายนเรศวร แค่ท้วงติงว่า "ประชาชนจับตาท่านตลอดเวลานะ...คุณตำรวจ" แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องจิกกัดต่อเนื่องยาวนาน หันไปเพ่งเล็งงานใหญ่ดีกว่าว่า เมื่อ ๑...ผ่านไป
อภิสิทธิ์-กองทัพ จะผ่าน ๒-๓-๔-๕ ไปจนถึงจุดศานติสุขแห่งชาติ คือ ๑๐ ด้วยรูปแบบไหน วิธีการไหน ในเมื่อ "ปัญหาสังคมชาติ" อันเป็นโจทย์วันนี้ มันเป็นปัญหาใหม่-โจทย์ใหม่ ที่จะใช้เครื่องมือ และกลไกกฎหมาย-การบริหารแบบเดิมๆ ที่ผ่านมา อันเป็น "ภาวะปกติ" ไม่ได้แล้ว!
ตำรวจนั้น ถึงแม้มหาประชาสังคมวันนี้จะบอกว่า "ขอได้รับความเกลียดชังจากประชาชนด้วยจริงใจ" เพราะประจักษ์ชัดแล้วว่า ที่ผ่านมา ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด นอกจากเป็นที่พึ่ง และทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ให้ชาวบ้านไม่ได้ยามมีภัย ตรงกันข้าม ตำรวจบางส่วนนั่นแหละ
ทำหน้าที่ เป็นทั้งสาย-ทั้งเป็นใจ ให้โจร "ปล้นบ้าน-เผาเมือง"!?
แต่ก็เห็นใจเขาเถอะ เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นโดยสันดาน และไม่มีเจตนาถึงขั้น "เปลี่ยนระบอบ-ล้มสถาบัน" เพียงแต่ สิ่งที่เขาเคยได้กิน-ได้อยู่ และได้เอาอำนาจไปฉีกเนื้อกิน ในสมัยทักษิณ "โกงแผ่นดิน" แล้วเจียดเป็นงบฯ มาแจกจ่ายจากเงินหวยบนดิน ๒ ตัว ๓ ตัวให้นั้น
เมื่อสิ้นทักษิณ ไม่มีเงินบาปจากการปล้นคน-ปล้นแผ่นดินมาแจกจ่าย ตำรวจระดับล่างๆ ซึ่งใช้ตำแหน่งหากินได้ไม่มากเท่าระดับใหญ่ๆ รวมถึงครอบครัว จึงเกิดปฏิกิริยาเหมือนคนทั่วไป อะไรที่เคยได้ เมื่อไม่ได้ มันก็ต้องเล่นบท "ตะกายฝา" โหยหาแต่...ทักษิณ...ทักษิณ ...คนโกงแผ่นดิน
แล้วเอาส่วนขี้มายีหัวบางตำรวจให้หลง!
ตำรวจนั้น เราตัดไม่ตาย-ขายไม่ขาด ฉะนั้น ต้องมองเขาด้วยความเข้าใจ เหมือนพี่น้องปลายรากบางส่วน คาถาแก้การโกรธเป็นนิสัย คือการให้เมตตา คาถาแก้คนหลงผิด คือการให้อภัย....นี่คือ "กฎใจ-คุณธรรม"
แต่ถ้าอภัยแล้วยังดีไม่ได้ และไม่สำนึก
ถึงขั้นตาย......
"ตาย...ก็ต้องให้ตาย"!
จะไปปรองดองกับโจรก่อการร้าย ร้ายถึงขั้น "เผาบ้าน-ปล้นเมือง, ล้มสถาบัน-เปลี่ยนระบอบ" ไม่ได้ "การุณยฆาต" สถานเดียวที่ "เนื้อร้ายสังคม" ประเภทนี้ต้องได้รับ
นีคือกฎหมาย-กฎเมือง!
ผมขอย้ำว่า ปลายมิถุนา-กรกฎา-สิงหา นี้ ปัญหาโจรก่อการร้าย "กบฏทักษิณ" จะเวียนกลับมาก่อภัยให้แผ่นดินอีก และนี่คือสิ่งที่ผมจะบอกว่า นับจาก ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ที่เกิดเหตุการณ์ "ขวาพิฆาตซ้าย" ฝากไว้เป็นรอยในประวัติศาสตร์
๓๔ ปีผ่านมาแล้ว ณ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ครบรอบตามวัฏฏะดาวเสาร์ ครั้งนี้ไม่ใช่ "ขวาพิฆาตซ้าย" หากแต่เป็น "ซ้ายพิฆาตขวา" คือพวกกบฏแดงเป็นฝ่ายฆ่าทหาร ฆ่าประชาชน
และเมื่อดาวเสาร์-ดาวพฤหัสบดี และดาวมฤตยู อันเป็นคู่ดาวแห่ง "การเปลี่ยนแปลงใหญ่" ชนิดฉับพลันเหนือคาดหมายเล็งกันเช่นนี้ จะพูดให้เห็นภาพ ยุค ๑๔ ตุลา ๑๖ ถึงยุค ๖ ตุลา ๑๙ เรื่อยมาถึงยุคพลเอกเกรียงศักดิ์ และพลเอกเปรม นั่นเป็นยุคภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์แทรกซึมชาติ ทหารจึงเป็นส่วนผสมการเมืองในการบริหารราชการแผ่นดิน
จนกระทั่งยุคพลเอกชาติชาย ภัยลัทธิหมดไป นโยบาย "แปลงสนามรบเป็นสนามการค้า" จึงถูกนำมาใช้แทนเรื่อยมา จาก ๒๕๓๐ จนถึง ๒๕๔๔ ที่แต่ละรัฐบาลใช้นโยบาย "การเมืองนำการทหาร"
แต่นับจากปี พ.ศ.๒๕๔๔ ที่ทักษิณครอบงำอำนาจบริหารประเทศในฐานะนายกฯ "ภัยลัทธิ" รูปแบบใหม่ จากการผสมพันธุ์ระหว่าง "ซ้ายละเมอ" กับขวาเหิมเกริม "คิดใหม่-ทำใหม่" ค่อยๆ ฟักตัวเติบใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ บนเป้าหมาย "ล้มสถาบัน-เปลี่ยนระบบ" อำนาจรวมศูนย์ทักษิณ!
กลยุทธ์-กลวิธีเดินไปสู่เป้าหมาย หลักใหญ่ที่เห็นไม่มีอะไรมาก ยึดกรรมาชน ชาวไร่-ชาวนา คนยากคนจน ตั้งเป็นฐาน เหมือนเมื่อครั้งลัทธคอมมิวนิสต์เข้ามาไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๓ ไม่ผิดเพี้ยน แต่แดงสยามครั้งนั้น "ยึดราก" ได้ช้า เพราะใช้อุดมการณ์ลัทธิเป็นตัวนำในการยึดราก ผิดกับระบบทักษิณ
ใช้ "อุดมกู" กับ "เงิน" ยึดราก!
ซึ่งได้ผลเร็วมาก ทั้งข้าราชการ-ตุลาการ-นักการเมือง-ทหาร-ตำรวจ-ครู-อาจารย์-นักวิชาการ-พระ-สื่อมวลชน และประชาชน เรียกว่า "ทั้งโจรทั้งบัณฑิต" ในทุกสถาบัน กลายเป็นนกติดตัง ในระบบ "ทุนวัตถุ" จนเกิดค่านิยมว่า "โกงแล้วเอามาแบ่ง...ยอมรับได้"
ในขณะที่คนในแผ่นดินเมา "ทุนวัตถุ" ตัวทักษิณกับคณะพรรค ก็ก้าวขยับไปสู่เป้าหมายเรื่อยๆ จากขั้นก่อการ "กัดกร่อนสถาบัน" ให้ฐานเซ เพียง ๕-๖ ปี ก็เติบกล้าถึงขั้นลงมือปฏิบัติการ "แดงทั้งแผ่นดิน" ล้มสถาบัน-เปลี่ยนระบอบประเทศ โดยแบ่งงานฝ่ายการเมืองอันเป็น "ฝ่ายบุ๋น" ให้พรรคเพื่อโจร กับฝ่ายชุมนุมสันติ-อหิงสา เดินเกม
ส่วนฝ่ายยุทธการอันเป็น "ฝ่ายบู๊" พวกเสนาธิการ "ทุนเหิมเกริม" กับ "ซ้ายละเมอ" วางแผนอยู่ในรังลับเรื่อยมาตั้งแต่ ๑๙ กันยา ๔๙ จัดตั้งกองกำลังผสมไม่ทราบฝ่าย อันมาจากทหาร-ตำรวจ-เสือพราน ทั้งในและนอกราชการ ผสมด้วยอันธพาล มาเฟียท้องถิ่น นักค้ายาและสิ่งผิดกฎหมายในเครือข่ายทุนใต้ฐานทักษิณ
เป้าหมายหลักมีอย่างเดียว.....
ยึดประเทศ-ล้มสถาบัน สถาปนา "อำนาจระบอบทักษิณ" ขึ้นครองแผ่นดิน ตามจินตนาการแอบจิต "คิดใหม่-ทำใหม่" ในแนว "ปฏิวัติฝรั่งเศส"!
เมื่อเรียบเรียงเหตุการณ์มาร้อยต่อเข้าด้วยกันก็จะเห็นว่า "เงื่อนไขสังคมเดิม" คือเรื่องลัทธิยึดครองชาติ ๓๐ กว่าปีผ่านไป "เชื้อเก่า-ผสมใหม่" ก็ปะทุเชื้อร้ายอีกรูปแบบหนึ่งภายใต้โครงสร้าง "ทุนวัตถุ" ขึ้นมาอีกแล้วในวันนี้
ชัดแล้วว่าสังคมที่ใช้ "ทุนวัตถุ" เป็นตัวนำ สุดท้ายจะมีบทสรุปให้เห็นดัง ๑๙ พฤษภา ๕๓ ฉะนั้น การปฏิวัติสังคมชาติใหม่ จะต้องนำ "ทุนธรรม" นำทุนวัตถุให้ได้ สังคมพอเพียง "จนพอเพียง-รวยพอเพียง-เจริญพอเพียง" นั่นคือฐานทุนธรรม อันมีแนวปฏิบัติผ่านสหกรณ์ และร่วมเป็น "สังคมใหม่" สังคมประชาธิปไตย-รัฐสภาประชาธิปไตยที่ "คนไทยทั้งประเทศ" ออกแบบกันเอง และใช้กันเอง
และแบบที่ออกนั้น "ทหาร-การเมือง" ต้องอยู่ด้วยกัน-ไปด้วยกัน
ไม่อย่างนั้น...เสร็จสภาโจร!?.

Read more...

smallroom-cafe: "ฟื้นฟูประเทศ" วาระคนไทยทั้งชาติ

smallroom-cafe: "ฟื้นฟูประเทศ" วาระคนไทยทั้งชาติ

Read more...

"ฟื้นฟูประเทศ" วาระคนไทยทั้งชาติ

ความเคลื่อนไหวของทุกภาคส่วนในการสนับสนุน ส่งเสริมให้รัฐบาลคืนความเชื่อมั่นแก่สังคมไทย ตลอดจนสังคมโลก หลังเหตุการณ์วิกฤติเผาบ้านเผาเมืองสงบลงเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 นับว่ามีนัยสำคัญบ่งบอกได้อย่างดีแล้วว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่คาดหวังว่า แผนการปรองดองแห่งชาติรวมทั้งนโยบายการฟื้นฟูประเทศโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจปฏิเสธอีกต่อไป
ความสูญเสียที่เกิดจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงโดยการนำของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่ามี "ทักษิณ ชินวัตร" อยู่เบื้องหลัง อาจจะสามารถประเมินค่าความเสียหายได้จากตัวตึก อาคาร สถานที่ และทรัพย์สินต่างๆ ได้ แต่ความสูญเสียในความรู้สึกและจิตใจของคนไทย สูญสิ้นความมั่นใจ และความภาคภูมิใจต่อการเป็นพลเมืองในดินแดนสยามเมืองยิ้ม โดยเฉพาะคนที่ต้องตกอยู่ในภาวะตื่นตกใจ เพราะเป็นประชากรในพื้นที่อันตรายนั้น คงไม่อาจจะนับเป็นตัวเลขได้ ฉะนั้น วิธีการ แนวทาง นโยบายใดๆ ก็ตาม ที่สามารถเรียกคืนศักดิ์ศรีความเป็นคนไทยที่รักสงบ และมีน้ำใจไมตรี เป็นที่กล่าวขานของชาวโลกได้นั้น ไม่ว่าคนไทยจิตใจสีไหนก็ย่อมอยากเห็นและอยากให้เป็นโดยเร็วที่สุด
แผนความปรองดองแห่งชาติ 5 ข้อ อันประกอบด้วย ข้อ 1.เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ข้อ 2.ปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องการถูกรังแกจากผู้มีอำนาจ ความไม่เป็นธรรมในสังคม และปัญหาเรื่องสวัสดิการสังคม รวมถึงปัญหาอื่นๆ ข้อ 3.ระบบสื่อสารมวลชน ขอให้สื่อทำหน้าที่ที่ไม่สร้างความรุนแรงและไม่สร้างความเกลียดชัง ข้อ 4.ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ต่างๆ จากความสูญเสียในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่มีการชุมนุมวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา และ ข้อ 5.ปฏิรูปการเมืองและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
จนถึงวันนี้ ดูเหมือนจะไม่น่าสนใจและน่าติดตามตรวจสอบเท่ากับสาระสำคัญที่นายกรัฐมนตรีประกาศต่อหน้าคนไทยทั้งประเทศว่า "เวลานี้ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการของการฟื้นฟู ตึกรามบ้านช่อง อาคารต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือ การฟื้นฟูจิตใจ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของบ้านเมืองที่จะต้องเกิดขึ้นต่อไป ส่วนการดำเนินคดี การดำเนินการตามกฏหมายกับผู้ซึ่งกระทำความผิดและมีโทษร้ายแรงในข้อหาต่างๆ นั้น ก็จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ต่อเนื่อง เด็ดขาด โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกๆ ฝ่าย การฟื้นฟูประเทศ ฟื้นฟูจิตใจของประชาชนในระยะยาว ในแผนปรองดองประกอบด้วย 5 ข้อ แผนดังกล่าวก็ยังเป็นเจตนารมณ์สำคัญที่รัฐบาลยังยึดถืออยู่ แต่ที่จะต้องเพิ่มเติมเข้าไปก็จะเป็นในส่วนของการฟื้นฟูในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านจิตใจ สังคม เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งในเรื่องของการเมือง เน้นเรื่องของการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนทุกฝ่าย ที่จะช่วยกันทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข และทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยนั้นกลับมาเป็นหนึ่งเดียว มีความสมัครสมานสามัคคี"
คำประกาศของนายกฯ ข้างต้น พร้อมกับเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนทุกกลุ่มมาช่วยกันออกแบบ ช่วยกันสร้าง ลงแรง ลงใจ ทำให้บ้านเมืองกลับมาเป็นบ้านที่น่าอยู่เหมือนเดิม โดยระบุว่ากระบวนการนี้จะเริ่มต้นนับตั้งแต่นาทีนี้นั้น เสมือนเป็นสัญญาประชาคมที่ขณะนี้คนไทยทั้งชาติต้องจับตามองเพราะทุกคนได้ประจักษ์แจ้งแล้วว่า ท่ามกลางการชุมนุมที่ยุติลงไปนั้น ยังปรากฏความคุกรุ่นของความแค้นและไม่พอใจระบายอยู่ทั่วสังคมไทย สอดคล้องกับที่มีการพิเคราะห์พิจารณ์ว่า การชุมนุมยุติแต่การต่อสู้ยังไม่ยุติ
มาตรการการฟื้นฟูประเทศจึงไม่ใช่เพียงแค่ฟื้นฟูซากปรักหักพัง อาคาร สถานที่ ถนนสายต่างๆ ให้มีชีวิตคืนสู่ปกติเท่านั้น แต่ย่อมหมายถึงฟื้นฟูสุขภาวะในจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ซึ่งโจทย์สำคัญคือความรู้สึกแบ่งแยกแตกต่างที่ไม่เพียงรัฐบาลเท่านั้นที่จะต้องแก้สมการปัญหานี้ให้ได้ แต่ทุกคนในสังคมไทยต้องยอมรับว่า ความเหลื่อมล้ำ ความเป็นสองมาตรฐานที่เป็นประเด็นการต่อสู้ของม็อบเสื้อแดงในครั้งนี้ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกฝ่ายที่ต้องช่วยทำการบ้านด้วยไม่มากก็น้อย
คนไทยทุกคนต้องมีจิตสำนึกร่วมว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเกิดมาเป็นคน ศีลธรรม จริยธรรม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ หรือประชาธิปไตย คนไทยพึงต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจว่า การชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิใดๆ ของผู้รักสันติ สงบ อหิงสา มีเส้นแบ่งที่เหมือนและแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของการชุมนุมที่มีการจัดตั้งโดยกลุ่มทุนสามานย์ พร้อมยังมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเป็นผู้หนุนหลัง มิเช่นนั้น ความฉิบหายอันเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจและเห็นแก่ตัวก็จะเป็นวงจรอุบาทว์กลับมาสร้างวิกฤติให้กับประเทศอย่างไม่รู้จบ
บทเรียนความเจ็บปวดจากคนไทยเข่นฆ่ากันเอง เพราะความแปลกแยกทางความคิด และความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกัน ทำให้สังคมไทยได้เห็นและพิสูจน์กับตาแล้วว่า ลำพังมาตรการความมั่นคงซึ่งใช้กำลังและอาวุธเป็นธงนำหน้านั้น ไม่อาจจะสามารถเอาชนะการก่อการร้ายหรือผู้ต่อต้านอำนาจรัฐได้ แม้กระทั่งมาตรการทางการเมือง ก็แก้ไขวิกฤติอันรุนแรงได้ยาก เพราะความเห็นแก่ตัวและขาดความเสียสละของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น การฟื้นฟูประเทศจะบรรลุเป้าหมายคืนความสุขสู่สังคมไทยได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยทุกคนต้องร่วมกันทำ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ โดยเริ่มจากครอบครัว ชุมชน โรงเรียน องค์กร สถาบัน จนเป็นเครือข่ายที่มีจิตสำนึกรักประเทศบ้านเกิดขยายวงกว้างออกไปเป็นลูกโซ่ จนปิดประตูมิให้คนนอกเข้ามาแทรกแซง และเงินไม่สามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของทุกคนในสังคมอีกต่อไป อย่างน้อยที่สุด รัฐบาลนั่นแหละต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างนำร่อง ฯพณฯ จะจัดการฟื้นฟูทหารแตงโมและตำรวจมะเขือเทศให้เป็นรั้วของชาติและผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริงได้อย่างไร.

Read more...

Fire @ Bangkok in 19/1/2009]

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Read more...

Red Shirts in Bangkok

Read more...

Bangkok on fire as Thai troops battle Red Shirts, curfew imposed

Read more...

เปิดแผนเถื่อน แกนนำสั่งเผาเมือง ก่อนมอบตัวหนีตาย!


แกน นำเสื้อแดง สุดโหด สั่งเดินแผนขั้นสุดท้าย เผาบ้าน เผาเมือง หลังมอบตัวหนีตาย พบกลุ่มก่อการร้ายชุดดำ ถอดเสื้อผ้า ปะปนผู้ชุมนุม ออกปฎิบัติการตามแผน แสร้งสร้างภาพไม่พอใจแกนนำ

วันนี้(19 พ.ค.)ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงเกี่ยวกับการออกมาก่อ เหตุความวุ่นวาย เผาบ้าน เผาเมือง ของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ประจำการอยู่ ณ จุดต่างๆทั่วกรุงเทพมหานคร รวมทั้งในหัวเมืองต่างๆของแต่ละจังหวัด หลังจากแกนนำคนสำคัญยอมจำนน ประกาศยอมแพ้ และเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งขณะนี้ยังถูกสอบสวนอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นแผนการของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ได้มีการสั่งเดินแผนเผาบ้าน เผาเมือง ทันที หากแกนนำถูกจับกุม

อีกทั้งการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ใช่เป็นการไม่พอใจแกนนำ แต่เป็นการปฎิบัติตามคำสั่งแผนขั้นสุดท้าย ตามที่นายใหญ่นอกประเทศ ได้สั่งการเอาไว้

นอกจากนั้น มีรายงานแจ้งว่า เหตุผลที่กลุ่มผู้ชุมนุมต้องการคือ ให้ประเทศไทยลุกเป็นไฟ สร้างภาพ "รัฐพังทลาย" เพื่อต้องการสหประชาชาติ หรือ องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ตามที่ แกนนำคนเสื้อแดง ได้เรียกร้องไว้ก่อนหน้านี้

สำหรับแผนก่อเหตุ มีรายงานแจ้งว่า หลังแกนนำมอบตัว กลุ่มกองกำลังชุดดำได้ทำการถอดชุดดำออก และใส่เสื้อผ้า เหมือนกับกลุ่มผู้ชุมนุม เข้าปะปนกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อเดินหน้าแผนปฎิบัติการวางเพลิงเผา สถานที่สำคัญ อาคารสูง และตึกที่เป็นสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งการออกปล้นสะดมภ์

โดยภาพที่ผู้สื่อข่าวได้เห็นชัดคือ กลุ่มบุคคลที่เข้าไปวางเพลิงเผาเซ็นทรัลเวิด์ล พบว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มดังกล่าว ได้ถอดเสื้อชุดดำออก และปฎิบัติการดังกล่าว ก่อนที่จะได้รับการตอบโต้จากเจ้าหน้าที่ทหาร ด้วยการจับตาย ทำให้กลุ่มดังกล่าว เกิดความแค้นมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนเถื่อน เผาบ้าน เผาเมือง หากมองย้อนกลับไปเมื่อครั้งแกนนำคนเสื้อแดง โดยเฉพาะนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ศอฉ.ออกมาระบุชัดเจนว่า เป็นผู้ก่อการร้ายตัวใหญ่นั้น นายณัฐวุฒิ ขึ้นประกาศบนเวที ฝากผ่านไปถึงนายกรัฐมนตรีหลายครั้งว่า "หากจะเข้ามาสลายคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์นั้นก็ทำได้ทันที ทุกเวลา แต่ไม่รับรองว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะไม่รู้ว่าพี่น้องประชาชน อาจจะเข้าไป"ช้อปปิ้ง"ในห้างสรรพสินค้าที่รายล้อมอยู่รอบสี่แยกราชประสงค์ก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องนี้ แกนนำจะไม่รับผิดชอบ"

นั่นเป็นคำขู่ของหนึ่งในแกนนำเสื้อแดง ที่ส่งรหัสผ่านไปยังนักก่อการร้ายชุดเสื้อดำ ให้ลงมือปฏิบัติการ หากรัฐบาลหรือ ศอฉ.เข้าสลายการชุมนุม และเหตุการณ์"วางเพลิง"ก็เกิดขึ้นโดยรอบ ภายหลังจากที่บรรดาแกนนำ ที่ทิ้งบรรดาสาวกไพร่ หนีตายเข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นอกจากนี้ ภายหลังจากที่ ศอฉ.ประกาศว่าจะมีการปิดล้อมเส้นทางทุกเส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปยังสี่แยกราชประสงค์นั้น ก่อนหน้านั้น มีรายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดง ได้ส่งกองกำลังส่วนหนึ่ง ออกไปนอกพื้นที่การชุมนุมแล้ว และเมื่อกำลังทหารเข้าปิดล้อมเส้นทางเข้าราชประสงค์ จึงได้เห็น"กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" ก่อเหตุปะทะกับทหารบริเวณ"บ่อนไก่" ที่ถนนพระราม 4 และ"สามเหลี่ยมดินแดง" ที่ถนนราชวิถีตัดเข้าถนนราชปรารภ

มีเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่า กองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ปักหลักยิงสู้กับทหารและก่อวินาศกรรมต่างๆขึ้นนั้น สามารถยืนหยัดต่อสู้กับทหารได้เป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งเมื่อแกนนำมอบตัว ก็ยังคงปฏิบัติการอยู่ เรื่องอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่ประชาชนทั่วไป จะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับกองกำลังของทหารหาญได้ หากไม่มีการจัดตั้ง -เตรียมการ และสั่งการกันไว้ก่อน

ประเด็นสำคัญคือ การเข้าสลายการชุมนุมทที่สี่แยกราชประสงค์ในครั้งนี้ ง่ายกว่าที่คิด แต่เมื่อสลายการชุมนุมแล้ว กลับยากกว่าที่คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำ

กล่าวคือบรรดาแกนนำนั้น รู้สึกล้าเต็มพิกัดกันแล้ว และกำลังหาทางลงกันอยู่ ดังนั้น เมื่อ"บันไดเลือด"พาดมา บรรดาแกนนำจึงไม่ยอมพลาดโอกาส รีบเข้ามอบตัวในทันที ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่ม"สู้"ตามที่เคยประกาศหลอกคนเสื้อแดงมาโดยตลอด อีกทั้งการยอมจำนนครั้งนี้ ได้มีการวางแผนกันไว้แล้วอย่างแยบยลว่า "จะไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่า"หรือจะยอมจำนนเฉยๆธรรมดาๆนั้นหามิได้ สถานการณ์ความรุนแรง ด้วยการเผาบ้านเผาเมืองจึงเกิดขึ้นตามมามิได้หยุด!

Read more...

ฝ่าความมืดด้วยแสงไฟ ฝ่าวิกฤติเมืองไทยด้วยแสงธรรม

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

เพื่อคืนสันติสุขกลับสู่สังคมไทยอีกครั้งอย่างยั่งยืน เราคนไทยควรร่วมกันแสวงหาทางออกจากวิกฤตครั้งนี้ร่วมกัน โดยช่วยกันสร้าง “มาตรการสร้างสรรค์สังคมไทยให้สันติสุข” จากทุกภาคส่วน เช่น
๑. กำหนดวิสัยทัศน์เฉพาะหน้าของประเทศให้ชัดเจนโดยเน้นไปที่ “การนำประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด”
การชุมนุมอย่างยืดเยื้อยาวนานและการเข้าแก้ปัญหาของภาครัฐอย่างเด็ดขาดที่ผ่านมาทำให้ความขัดแย้งลุกลามออกไปกลายเป็นการเผาบ้านเผาเมือง มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งสุดวิสัยที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกล่าวโทษกันอีก สิ่งที่ควรทำต่อจากนี้ก็คือ คนไทยต้องร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์แห่งชาติว่า เราจะต้องร่วมกันนำพาประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งปล่อยให้ยืดเยื้อออกไป ความเสียหายที่ประมาณไม่ได้ก็จะยิ่งทวีคูณออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขืนชักช้าก็จะเป็นการเปิดช่องให้กับองค์กรต่างประเทศเข้ามาเป็น “หุ้นส่วน” ในการดับวิกฤติและนั่นย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย เพราะประเทศไทยจะกลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” ในสายตาของชาวโลก และไม่สามารถบริหารจัดการประเทศของตัวเองได้อย่างเสรีเช่นเดิม ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นประเทศไทยที่มีทหารของยูเอ็นกระจายอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ใครๆ ก็คงไม่อยากเห็นเมืองไทยตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
ทุกวันนี้ เราแค่มี “การเมืองที่ล้มเหลว” ซึ่งนับว่ายังพอเยียวยาได้ แต่ถ้าทิ้งยืดเยื้อออกไปจนกลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” ก็เท่ากับว่า ประเทศไทย คนไทย หมดสิ้นปัญญาอย่างสิ้นเชิงที่จะดูแลตัวเอง ซึ่งหากการณ์เป็นเช่นนั้น ก็นับเป็นความอัปยศร่วมกันของคนทั้งชาติ
๒. บังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อก้าวข้ามสภาวะ “อนาธิปไตย”
การลุกลามของปัญหามากมายในห้วงเวลาที่ผ่านมานั้นมาจากสาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างหละหลวมมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้ “กระบวนการนอกประชาธิปไตย” ในรูปแบบต่างๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเข้มแข็ง และปฏิบัติการท้าทายกฎหมายบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายกลุ่ม หลายกระบวนการ หลายสีเสื้อ จนกระทั่ง เจ้าหน้าที่รัฐเองไม่กล้าแม้แต่จะทักท้วง หรือไม่อาจหยัดยืนที่จะบังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์เอากลับกลุ่มใด ผลก็คือ ประเทศเข้าสู่สภาวะ “อนาธิปไตย” ที่กฎหมายไม่มีผลในทางปฏิบัติ บ้านเมืองไร้ขื่อแป สภาวะเช่นนี้ ควรจะเป็นบทเรียนสำคัญที่คนไทยต้องเรียนรู้ร่วมกันว่า ในอนาคตจะต้องไม่มีปฏิบัติการนอกกฎหมายเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกัน ดังนั้น ทุกคนจึงมีสิทธิเสรีภาพในด้านต่างๆ อย่างสมบูรณ์ภายใต้ข้อตกลงร่วมกันที่ว่า “เสรีภาพภายใต้กรอบของกฎหมาย” แต่ถ้าหากกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ เสรีภาพที่มี ก็จะกลายเป็นเสรีที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่เสรีที่จะทำร้ายประเทศชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รักยิ่งของตนเองมาก่อน
ถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ เสรีภาพจะต้องไม่เกินกรอบของกฎหมาย ทำอย่างไร เราจะร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการเคารพกฎหมายให้เป็นวิถีชีวิตของคนไทย และทำอย่างไรเราจะทำให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างศักดิ์สิทธิ์เสมอภาคกันในทุกกาลเทศะ คำว่า “สองมาตรฐาน” จะต้องหมดไป ไม่ปล่อยให้กลายเป็นเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาทำร้ายคนไทยด้วยกันอีก นี่เป็นโจทย์ใหญ่อีกข้อหนึ่งที่คนไทยทั้งหมดจะต้องตอบร่วมกัน เพราะหากสังคมไม่มีกฎหมายเป็นหลักประกันในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ความวุ่นวายจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด และเมื่อคุมกันไม่อยู่ ผลสุดท้ายก็จะลงเอยด้วยเลือดและน้ำตาซ้ำซากปร ะเทศไทยจะจมอยู่แต่ฉากเดิมๆ กับตัวละครเดิมๆ ไม่มีวันก้าวกระโดดออกมาจากวิกฤติอย่างยั่งยืน
๓. หยุดการใช้ความรุนแรงแล้วเปิดเวทีกลางเพื่อหาทางเจรจาร่วมกันระหว่างรัฐและผู้ชุมนุม
ที่ประเทศแอฟริกาใต้เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เคยเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างชนผิวดำเจ้าของประเทศและผู้กุมอำนาจรัฐซึ่งเป็นฝรั่งผิวขาว ในสงครามกลางเมืองคราวนั้น ผู้นำทางการเมืองชาวแอฟริกาใต้คือเนลสัน แมนเดลา ใช้วิธีการแบบกองโจรในการเข้าปล้นอำนาจรัฐคืน ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เพียงจะไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น สงครามกลางเมืองยังนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนดั่งใบไม้ร่วง ตัวเขาและมิตรสหายก็กลายเป็นอาชญากรที่รัฐประกาศจับ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เป็นเวลายาวนาน ยิ่งรบยิ่งมองไม่เห็นทางชนะ ยิ่งสู้ยิ่งเข้าตาจน สูญทั้งเงิน สูญทั้งชีวิต ยิ่งใช้วิธีการจรยุทธสันติภาพยิ่งห่างออกไปทุกที เวลาต่อมาแมนเดลาถูกผู้กุมอำนาจรัฐจับไปขัง และเป็นการขังลืมยาวนานกว่า ๒๗ ปี วันเวลาอันยาวนานในคุก ทำให้เนลสัน แมนเดลา สรุปบทเรียนว่า “ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบ” ดังนั้น พอถึงวันที่เขาได้รับอภัยโทษ แมนเดลาจึงเกิดการเรียนรู้ครั้งใหญ่ว่า “มีแต่สันติวิธีเท่านั้นที่จะทำให้สันติภาพกลับคืนสู่แอฟริกาใต้อีกครั้ง” ด้วย “ธงแห่งสันติวิธี” ที่เขาปักลงไปในใจของตัวเองและในใจของเพื่อนร่วมชาติ ในที่สุดจึงนำไปสู่การเจรจาระหว่างตัวเขาและประธานาธิบดีในขณะนั้น ผลก็คือ ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมกันยุติสงครามกลางเมืองได้สำเร็จ จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันทั้งคู่ และที่น่ายินดียิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทั้งเนลสัน แมนเดลาและเดอเคลิก ประธานาธิบดีผู้กุมอำนาจรัฐซึ่งเป็นสองผู้นำคนสำคัญที่ขับเคี่ยวกันมานานได้เปลี่ยนความสัมพันธ์จากศัตรูกลายเป็นวีรบุรุษแห่งสันติภาพของประเทศ บทเรียนแห่งชีวิตของแมนเดลา เป็นกรณีศึกษาสำหรับประเทศที่เข้าสู่สงครามกลางเมืองอีกมากมายทั่วโลก ประเทศไทยเอง ก็ควรได้รับอานิสงส์จากบทเรียนของแมนเดลาด้วยเช่นเดียวกัน
ขอให้เราคนไทยเลือก “การเจรจา” เป็นเครื่องมือยุติสงครามกลางเมือง เพราะหากเราเลือกสงคราม ก็มีแต่สงครามต่อไปไม่จบสิ้นเหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์ ส่วนผู้ชนะย่อมก่อเวร” หรือเหมือนที่ มหาตมะ คานธี กล่าวว่า “หากใช้ตาต่อตา ก็จะตาบอด และหากใช้ฟันต่อฟันก็จะฟันหักกันหมด”
๔. ก่อตั้งสมัชชาปฏิรูประเทศไทยเพื่อเร่งเยียวยาและหาทางออกให้กับประเทศให้รวดเร็ว แต่อย่างยั่งยืนที่สุด
มีการพูดกันมากว่า ควรก่อตั้งสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยเพื่อหาทางที่จะเยียวยาประเทศไทยหลังวิกฤติ นี่เป็นแนวคิดที่ดี และควรเร่งทำอย่างยิ่ง แต่มีข้อที่ควรพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ควรจะให้สมัชชาปฏิรูปนี้มีวัฒนธรรมการทำงานในแบบราชการคือ แทนที่จะเป็นองค์กรเพื่อการเปลี่ยนแปลง กลับเป็นองค์กรประชุม ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะ “ประชุม” และ “นัดประชุม” ทว่าไม่มีผลอย่างไรในแง่ที่เป็นรูปธรรม ประเทศไทยไม่มีเวลามากพอสำหรับการทำงานฟื้นฟูบูรณะแบบเช้าชามเย็นชาม หรือแบบ “ความสามัคคีก็ดีอยู่ แต่ต้องมีกูเป็นหัวหน้า” การตั้งสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย จึงต้องใช้วัฒนธรรมพิเศษที่รวดเร็ว ก้าวข้ามทิฐิมานะของคณะกรรมการ และมุ่งสัมฤทธิผลมากกว่ามุ่งเอกสารและการประชุม
อนึ่ง มีข้อที่ควรสังเกตไว้อย่างหนึ่งก็คือ โรดแม็พการปฏิรูปประเทศไทยเท่าที่มองเห็นในขณะนี้ หลายฝ่ายมุ่งไปที่การปฏิรูปโครงสร้างเชิงระบบที่เน้น “กายภาพ” ของปัญหาแทบทั้งนั้น ต่างพากันมองข้าม “มิติทางด้านจิตวิญญาณ” เช่น เรื่องค่านิยม ระบบความเชื่อความคิด และวัฒนธรรมบางอย่าง (นิสัยเห็นแก่ตัว ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่สนใจปัญหาสังคม คอรัปชั่นจนเป็นวัฒนธรรม เป็นต้น) ที่นำพาประเทศไทยมาติดตันอยู่ในความขัดแย้งกันไปสิ้น ดังนั้น คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมาจึงไม่ควรมองข้ามการปฏิรูปประเทศไทยในระดับทิฐิ หรือระดับจิตวิญญาณด้วย เพราะจากบทเรียนที่ผ่านมา เราปฏิรูปกันมาแล้วหลายครั้ง เราสร้างระบบที่เชื่อกันว่าดีที่สุด (อย่าง รธน.ปี ๒๕๔๐) แต่แล้ว ปัญหาเดิมๆ กลับยังคงอยู่ นั่นเป็นเพราะว่า เราปฏิรูประบบ แต่วิธีคิด ค่านิยม วัฒนธรรมเดิมๆ ที่เป็นตัวปัญหาของชาติ ยังไม่เคยได้รับการปฏิรูปเสียที ย้ำชัดๆ ว่า หากเราไม่ปฏิรูปปกระบวนทัศน์ของคนไทย หรือจิตสำนึกของคนไทย (เช่น ค่านิยมอันตรายที่ว่า โกงก็ได้ แต่ขอให้แบ่งกัน) การปฏิรูปครั้งใหม่ก็จะทำให้เกิดวิกฤติครั้งใหม่ที่ไม่ต่างไปจากทุกครั้งเท่านั้นเอง


๕. ฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของคนไทยด้วยการจัด “บายศรีสู่ขวัญประเทศไทย” ณ ใจกลางสถานที่ชุมนุมเดิม (เช่น แยกราชประสงค์ หรือสถานที่อื่นใด)
สงครามกลางเมืองครั้งประวัติศาสตร์คราวนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ขวัญและกำลังใจของคนไทยตกต่ำย่ำแย่อย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนดั ดังนั้น จึงควรมีการฟื้นฟูบูรณะขวัญและกำลังใจของคนไทยให้ฟื้นคืนมาเหมือนดังเดิมด้วยการสร้างขวัญและกำลังใจขึ้นมาใหม่ด้วยการทำบุญประเทศในรูปแบบต่างๆ ซึ่งในที่นี้ขอเสนอให้มีการ “บายศรีสู่ขวัญประเทศไทย” เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของคนไทยกลับคืนมาพร้อมทั้งจัดการ “เจริญพระพุทธมนต์” และประพรมน้ำ พระพุทธมนต์ทั่วกรุงเทพฯ โดยเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองหรือหุ้นส่วนของความขัดแย้งทุกกลุ่มมาร่วมในพิธีนี้ ซึ่งจะมีนัยะสำคัญอย่างน้อยสามประการ กล่าวคือ (๑) เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ (๒) เพื่อทำบุญประเทศครั้งใหญ่เหมือนในสมัยพุทธกาลที่พอวิกฤติโรคร้ายสร่างซา พระพุทธองค์โปรดให้พระอานนท์ไปประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ประชาชนชื่นใจ (๓) เพื่อสร้าง “อภัยวิถี” คือ วิธีการให้อภัย (ภาวะที่ไม่น่ากลัว) แก่กันและกันระหว่างผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมทั้งเป็นการส่งสัญญาณต่อประชาคมโลกว่า ประเทศไทยกลับคืนสู่สันติภาพและเป็นปกติสุขแล้ว
เราทุกคนคือหุ้นส่วนประเทศไทย ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับเราคนไทยทุกคน อย่าปล่อยให้ประเทศไทย อยู่ในกำมือของนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียวเหมือนที่ผ่านมา เราต้องกล้าที่จะร่วมกันลุกขึ้นมาเปลี่ยนประเทศไทย เวลานี้ เราพูดกันมากว่า ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม คำกล่าวนี้คงไม่ผิด แต่คำว่า “ไม่เหมือนเดิม” ต้องหมายถึง ไม่เหมือนเดิมในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ไม่เหมือนเดิมในทิศทางที่แย่ลงกว่าเดิม ประเทศไทยวันพรุ่งนี้ ต้องดีกว่าวันนี้ นี่คือ สิ่งที่เราทุกคนต้องร่วมกันสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นให้ได้ในเร็ววัน

Read more...

เมื่อ CNN โดนกำปั้นสาวน้อยจากไทยแลนด์ เฉลย...นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ เป็นใคร? เชิญร่วมชื่นชมสาวไทยใจกล้า! มือก็ไกว ดาบก็แกว่ง แข็งหรือไม่?

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553


Zeze Na Pombejra: Open Letter to CNN International


Dear Sirs/Madams,

Recently, CNN Thailand Correspondents Dan Rivers and Sarah Snider have made me seriously reconsider your agency as a source for reliable and accurate unbiased news. As of this writing, over thousands of CNN’s viewers have already begun to question the accuracy and dependability of its reporting as regards events in Afghanistan, Haiti, Iraq, Iran, etc., in addition to Bangkok.


เร็วๆนี้ ผู้สื่อข่าว CNN ประจำประเทศไทย แดน ริเวอร์ และ ซาร่าห์ ซไนเดอร์ ทำให้ดิฉันต้องกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่าข่าวของสำนักข่าวของคุณเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ มีความถูกต้อง และไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันกำลังเขียนจดหมายฉบับนี้ มีผู้เสพข่าวของ CNN กำลังตั้งคำถามถึงความแม่นยำและแหล่งข่าวในการนำเสนอเหตุการณืที่เกิดขึ้นใน อาฟกานิสสถาน ไฮติ อิรัก อิหร่าน เป็นต้น .. เพิ่มเติมจากการเสนอข่าวในกรุงเทพมหานคร

As a first-rate global news agency, CNN has an inherent professional duty to deliver all sides of the truth to the global public who have faithfully and sincerely placed their trust and reliance in you. Your news network, by its longtime transnational presence and extensive reach, has been put in a position of trust and care; CNN’s journalists, reporters, and researchers have a collective responsibility to follow the journalist's code and ethics to deliver and present facts from all facets of the story, not merely one-sided, shallow and sensational half-truths. The magnitude of harm or potential extent of damage that erroneous and fallacious news reporting can cause to (and exacerbate), not only a country’s internal state of affairs, economic well-being, and general international perception, but also the real lives and livelihood of the innocent and voiceless people of that nation, is enormous. CNN should not negligently discard its duty of care to the international populace by reporting single-sided or unverified facts and distorted truths drawn from superficial research, or display/distribute biased images which capture only one side of the actual event.




ในฐานะที่เป็นสำนักข่าวชั้นนำของโลก CNN มีหน่าที่ในการเสนอข่าวอย่างรอบด้าน บนพื้นฐานของความจริงต่อประชาชนทั่วโลกที่ให้ความไว้วางใจอย่างสุจริตต่อการเสนอข่าวของสำนักข่าวของท่าน เครือข่ายข่าวนานาชาติของท่านยังดำรงอยู่และเข้าถึงอย่างกว้างขวางโดยพื้นฐานของการนำเสนออย่างระมัดระวังและไว้ใจได้มาอย่างยาวนาน ; นักข่าว ผู้สื่อข่าว และผู้ที่ทำการวิจัยข้อมูลของ CNN ต้องมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานการปฏิบัติและจริยธรรมของผู้สื่อข่าว ในอันที่จะนำเสนอเรื่องราวและข้อเท็จจริงรอบด้าน ไม่ใช่การนำเสนอข่าวด้านเดียว ที่ตื้นเขิน และความจริงเพียงครึ่งเดียว ความเสียหายและโอกาสที่จะเกิดความเสียหายที่ร้ายแรงจากความเข้าใจผิดหรือการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องอาจจะเกิดขึ้นได้ (และถูกทำให้แย่ลง) ไม่เพียงแค่ในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ต่อประชาคมโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่จริงๆของผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และไม่มีปากเสียงของประเทศนั้นๆด้วย นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่โต CNN ไม่ควรจะเพิกเฉยและละเลยหน้าที่ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในในการนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวในประชาคมโลก หรือการที่ไม่ตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข่าว และแม้แต่การบิดเบือนข้อเท็จจริงที่นำมาจากการการวิจัยอย่างคร่าวๆ ผิวๆเผินๆ หรือการนำเสนอ/แจกจ่ายรูปภาพที่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งของความจริงทั้งหมดในภาพรวม

Mr. Rivers and Ms. Snider have NOT done their best under these life-threatening circumstances because many other foreign correspondents have done better. All of Mr. Rivers and Ms. Sniders' quotes and statements seem to have been solely taken from the anti-government protest leaders or their followers/sympathizers. Yet, all details about the government’s position have come from secondary resources. No direct interviews with government officials have been shown; no interviews or witness statements from ordinary Bangkok residents or civilians unaffiliated with the protesters, particularly those who have been harassed by or suffered at the hands of the protesters, have been circulated.




คุณริเวอร์ และคุณ ซไนเดอร์ ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดภายใต้ภาวะที่อาจจะเกิดการคุกคามชีวิต เพราะผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอื่นๆทำหน้าที่ได้ดีกว่านี้ ทุกสิ่งที่คุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์กล่าวถึงและเขียนถึง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่นำมาจากแกนนำของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้าน หรือผู้ชุมนุมที่ฟูมฟายรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้น รายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวกับทางฝ่ายรัฐบาลล้วนได้มาจากแหล่งข่าวรองๆทั้งสิ้น ยังไม่ปรากฏว่ามีการเข้าไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐโดยตรง หรือการเข้าไปรับทราบการรายงานจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องการการชุมนุมประท้วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งถูกคุกคามและต้องทนทุกข์จากการกระทำของกลุ่มผู้ประท้วง แล้วนำมารายงานข่าว

Why the discrepancy in source of information? Why the failure to report all of the government’s previous numerous attempts to negotiate or invitations for protesters to go home? Why no broadcasts shown of the myriad ways the red protesters have terrorized and harmed innocent civilians by burning their shops, enclosing burning tyres around apartment buildings, shooting glass marbles at civilians from high altitudes, attacking civilians in their cars, and worst of all, obstructing paramedics and ambulances carrying civilians injured by M79 grenade blasts during the Silom incident of April 24, 2010, thereby resulting in the sole civilian casualty? The entire timeline of events that have forced the government to take this difficult stance has been hugely and callously ignored in deference to the red ‘underdogs’.




ทำไมจึงมีความแตกต่างในการนำเสนอข่าว (สองมาตรฐาน – ผู้แปล) ทำไมจึงไม่มีการรายงานข่าวความพยายามหลายๆครั้งของทางฝ่ายรัฐบาลที่จะเจรจาหรือเชิญผู้ชุมชุมให้กลับบ้าน ทำไมจึงไม่มีการรายงานวิธีการมากมายหลายอย่างที่เลวร้ายน่ากลัวที่กลุ่มผู้ประท้วงได้กระทำและเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยการเผาทำลายร้านค้า การเผายางรถยนต์รอบๆตึกอพาร์ทเม้นท์ ยิงลูกแก้วเข้าสู่ประชาชนจากที่สูง ทำร้ายประชาชนในรถยนต์ และที่เลวร้ายที่สุดก็คือกีดขวางเจ้าหน้ราที่ทางการแพทย์และรถพยาบาลที่กำลังลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีการยิงระเบิด เอ็ม 79 ในพื้นที่การปะทะที่ถนนสีลมเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2010 ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับได้บีบบังคับให้ทางฝ่ายรัฐบาลต้องอยู่ในฐานะที่ยากลำบากที่จะต้องเมินต่อกลุ่มคนเสื้อแดง

Mr. Rivers and Ms. Snider’s choice of sensational vocabulary and terminology in every newscast or news report, and choice of images to broadcast, has resulted in law-abiding soldiers and the heavily-pressured Thai government being painted in a negative, harsh, and oppressive light, whereas the genuinely violent and law-breaking arm of the anti-government protesters - who are directly responsible for overt acts of aggression not only against armed soldiers but also against helpless, unarmed civilians and law-abiding apolitical residents of this once blooming metropolis (and whose actions under American law would by now be classified as terrorist activities) – are portrayed as righteous freedom fighters deserving of worldwide sympathy and support. This has mislead the various international Human Rights watchdogs to believe the Thai government are sending trigger-happy soldiers out to ruthlessly murder unarmed civilians without just cause.




สิ่งที่คุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์เลือกใช้ไม่ว่าจะเป็นภาษา คำศัพท์ หรือภาพที่กินใจในการนำเสนอข่าว ล้วนเป็นเรื่องของทหารที่ปฏิบัติตนตามกฎหมายและอยู่ภายใต้ภาวะกดดันอย่างสูง ฝ่ายรัฐบาลได้รับการป้ายสี วาดภาพในด้านลบ หยาบกระด้าง และปกครองอย่างกดขี่ ในขณะที่พวกที่มีความรุนแรงที่แท้จริงและละเมิดกฎหมายของกลุ่มคนที่ประท้วงรัฐบาล ผู้ซึ่งจะต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริงต่อการกระทำที่เกินเลยและก้าวร้าว ไม่เพียงกระทำต่อทหารที่มีอาวุธเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนที่สิ้นหวัง ปราศจากอาวุธ ผู้ที่ปฏิบัติตนภายใต้กฎหมาย และประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตที่ครั้งหนึ่งเป็นเขตที่รุ่งเรืองของมหานครแห่งนี้ (ซึ่งการปฏิบัติตนเช่นที่กล่าวมานี้ หากเป็นกฎหมายของอเมริกา จะถูกจัดเป็นกลี่มผู้ก่อการร้ายทันที) – แต่คนกลุ่มนั้นกลับปฏิบัติตนเสมือนว่ามีอิสระที่จะต่อสู่ และได้รับความเห็นใจและการสนับสนุนจากประชาคมโลก นี่เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดๆในกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลไทยกำลังส่งทหารที่มีอาวุธเข้าไปเข่นฆ่าประชาชนโดยไม่มีเหตุอันควร

As a current resident of "war zone" Bangkok who has experienced the effect of the Red protests first hand and is living in a state of constant terror and anxiety as to whether her family, friends, and home would get bombed or attacked by the hardcore anti-government vigilantes/paramilitary forces - I appeal to CNN's professional integrity to critically investigate and scrutinize the misinformed news reporting of your above-named correspondents. If they are incapable of obtaining genuine, authentic facts from any other source except the Red Protest leaders and red-sympathizing Thai translators or acquaintances, or from fellow non-Thai-speaking journalists who are similarly ignorant of Thai language, culture, history, and society, then perhaps CNN should consider reassigning field correspondents to Thailand.




ในฐานะที่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ใน “เขตสงคราม” ของกรุงเทพ และมีประสบการณ์ตรงที่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีการข่มขู่อย่างต่อเนื่อง เรามีความกังวลว่าครอบครัวของเรา เพื่อนฝูง และบ้านเรือนของเราจะถูกระเบิดหรือถูกโจมตีจากกลุ่มหัวรุนแรงของกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาล กองกำลังต่างๆ – ดิฉันอยากจะขอร้องให้ CNN ใช้จริยธรรมของวิชาชีพในการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนละพินิจพิเคราะห์ข่าวที่บิดเบือนจกการนำเสนอโดยผู้สื่อข่าวที่ได้พูดถึงข้างต้น หากพวกเขาไม่มีความสามารถในการหาข่าวที่เป็นจริงจากแหล่งข่าวอื่นๆนอกเหนือไปจากแกนนำคนเสื้อแดงและคนแปลที่เห็นอกเห็นใจฝ่ายเสื้อแดง หรือจากนักข่าวที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ไม่รู้เรื่องวัฒนธรรม เมินเฉยต่อประวัติศาสตร์ และสภาวะทางสังคม และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ CNN น่าจะหาผู้สื่อข่าวคนอื่นเข้ามาทำข่าวในประเทศไทย

I implore and urge you to please take serious action to correct or reverse the grave injustice that has been done to the Thai nation, her government, and the majority of law-abiding Thai citizens and expatriate residents by having endorsed and widely circulated poorly researched and misrepresented news coverage of the current ongoing political unrest and escalating violence in Thailand.




ดิฉันขออ้อนวอนและขอให้สำนักข่าวของท่านลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย กับรัฐบาลไทย และประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ที่เคารพกฎหมาย รวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่นี่ โดยการรายงานข่าวและงานวิจัยแย่ๆ ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงของสถานการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้น รวมถึงการรายงานความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนเกินเลยเกินความเป็นจริง

Copies of this open letter have also been distributed to other local as well as international news media and social networks for public information. Please feel free to contact me further should you require any additional concrete and reputable evidence in substantiation and corroboration of my complaints and claims stated hereinabove.




สำเนาของจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้จะมีการแจกจ่ายในประเทศไทย และในประชาคมโลก รวมถึงในเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนทั่วไป กรุณาติดต่อดิฉันได้ทุกเมื่อหากท่านต้องการข้อมูลเฉพาะเพิ่มเติม หรือหลักฐานที่เชื่อถือได้ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อความที่ดิฉันเขียนมาทั้งหมดข้างต้น

Thank you.


Yours faithfully,

Napas Na Pombejra, B.A., LL.B. (Lond.)
Bangkok, Thailand
May 17, 2010


Addendum

Enclosed herewith for your attention and information some examples of other quality international news bulletins by respectable foreign journalists so you may assess at your leisure the sub-par quality and misleading nature of Mr. Rivers and Ms. Sniders' journalism:

พร้อมจดหมายฉบับนี้ ดิฉันได้แนบตัวอย่างข้อมูลจากสำนักข่าวระหว่างประเทศที่มีคุณภาพดี ที่รายงานโดยผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่น่านับถือ เพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านได้พิจารณาประเมินข่าวที่ต่ำกว่ามาตรฐานและบิดเบือนของสำนักข่าวของท่านที่รายงานโดยคุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์

1. New York Times: http://www.nytimes.com/2010/05/16/world/asia/16thai.html

2. Fox News/Associated Press:
(i) http://www.foxnews.com/world/2010/05/16/chaos-continues-thailand-govt-rejects-talks-continues-crackdown-killed/
(ii) http://www.foxnews.com/world/2010/05/17/thai-red-shirt-general-dies-chaos-continues/
3. Global Post: http://www.globalpost.com/dispatch/thailand/100514/thailand-protests-bangkok
4. NHK: http://www.nhk.or.jp/daily/english/17_15.html
5. Al Jazeera: http://english.aljazeera.net/programmes/listeningpost/2010/04/2010423171540981286.html
6. Deutsche Welle (English media in Germany):
http://www.dw-world.de/dw/article/0,,5575254,00.html
7. Local English daily newspaper’s chronology of events on Day 3 of “War in Bangkok”:
http://www.nationmultimedia.com/home/2010/05/17/politics/What-went-down-30129533.html


Youtube Videos, images, articles showing what CNN has failed to circulate:

1. http://www.youtube.com/watch?v=F_xg0l6-oHY
2. http://www.youtube.com/watch?v=6rGqZDvRa_U
3. http://www.youtube.com/watch?v=r3tfBBSVJdU&feature=player_embedded
4. http://www.youtube.com/watch#!v=4hmSPbugDAA&feature=related
5.
6. http://www.youtube.com/watch#!v=XRi6m7QG06M&feature=related
7. http://www.youtube.com/watch#!v=Aws3ZMXzNjs&feature=related
8. http://www.youtube.com/watch#!v=giuEOQ62n6E&feature=related
9. http://www.youtube.com/watch#!v=yy3a73Y6fBg&feature=related
10. http://www.youtube.com/watch?v=MLuffqnszIY
11. http://www.youtube.com/watch?v=MqnXV2ltUlE
12. http://www.youtube.com/watch#!v=LXMmQReCKVg&feature=related
13. http://www.youtube.com/watch#!v=FWN7zYV7_Bo&feature=related
14. http://www.youtube.com/watch?v=005jYjmEAVE
15. http://www.youtube.com/watch?v=ioOrreuQ94c
16. http://tweetphoto.com/22647514
17. http://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/37395/put-an-end-to-this-rebellion?awesm=fbshare.me_AMdZh
18. http://www.facebook.com/photo.php?pid=333752&id=118996168116475
19. http://www.youtube.com/watch#!v=El-zPySi9cQ&feature=related
20. http://www.youtube.com/watch#!v=KzcVcHokaVM&feature=related
21. http://www.youtube.com/watch?v=agLBIWDKWkI
22. http://www.youtube.com/watch#!v=34hSEPOC71g&feature=related
23. http://www.youtube.com/watch#!v=kuAQyc5d1HY&feature=related
24. http://www.youtube.com/watch#!v=Pv9Hpfb6gNE&feature=related
25. http://www.youtube.com/watch?v=x7yAVunxw1g&feature=player_embedded
26. http://www.facebook.com/photo.php?pid=328250&o=all&op=1&view=all&subj=122351831122683&aid=-1&id=1785951766
27. http://www.facebook.com/photo.php?pid=5959829&o=all&op=1&view=all&subj=122351831122683&aid=-1&id=506055218
28. http://www.facebook.com/photo.php?pid=5960844&o=all&op=1&view=all&subj=122351831122683&aid=-1&id=506055218
29. http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/8684405.stm
30. http://www.facebook.com/video/video.php?v=428905841067&ref=mf



ต้องขออภัยคุณ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ที่ต้องขออนุญาตนำเรื่องราวของคุณมาเผยแพร่ ....
เพราะจดหมายของคุณที่มีไปถึง CNN ได้รับการกล่าวขาน ไม่แพ้ "วาทกรรม" ของ คุณพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง

สืบค้นจากอินเตอร์เน็ต พบว่า สาวน้อย ผู้มีนามว่า นภัส ณ Pombejra เธอจบการศึกษาจาก คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วนี่เอง

ไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่อังกฤษ ก็ได้เกียรตินิยม เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

2008 นิติศาสตรบัณฑิต (Hons.) (เกียรตินิยม)
Queen Mary, University of London, London, UK Queen Mary, University of London, London, UK

2005 BA in Economics (International Program) 2005 ปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) (First Class Honors) (เกียรตินิยม)
Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand
อีเมล์และโทรศัพท์ คงหาได้ไม่ยาก แต่น่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของบริษัท
ผมไม่อยากรบกวนเธอมากไปกว่า อยากส่งอีเมล์ไปขอบคุณ...

napas@siamcitylaw.com

Read more...

รถถังทะลายบังเกอร์ศาลาแดง : suthichaiyoon.com

รถถังทะลายบังเกอร์ศาลาแดง : suthichaiyoon.com

Read more...

เผยจุดยืน “ แม่ทัพภาค 1” ในสงครามปราบกบฏแดง ไพ่บอดแต้มบนมือศอฉ.!?

เจาะสถานการณ์ พฤษภาทมิฬ 53


มีคำถามกันมากถึงสาเหตุที่ทำให้การประกาศเคอฟิวที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16พ.ค.เปิดทางผ่านรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” สะดุดราวกับถูกติดดีสเบรค

ทั้งที่ หากพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ สิ่งที่ อภิสิทธิ์ พูด มิใช่การใช้อำนาจฝ่ายบริหารไปบีบบังคับให้ทหารต้องปฏิบัติ แต่จากเนื้อหาคำพูดสะท้อนว่าต้องมีการหารือกันมาแล้วในระดับหนึ่ง จนตกผลึกแล้ว จึงได้ออกมากล่าวต่อสาธารณะ

“ การป้องกันไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ การประกาศเคอฟิวจะเป็นมาตรการหนึ่งในการดูแล ซึ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะประชุมร่วมกับ ศอฉ.ในช่วงสายวันนี้ เพื่อพิจารณาว่าจะมีการประกาศมาตรการนี้หรือไม่”

ข่าววงในระบุว่า ก่อนที่ อภิสิทธิ์ จะพูดผ่านรายการนี้ ได้เสนอแนวคิดถึงการใช้มาตรการเคอฟิวมาคลี่คลายสถานการณ์ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. โดยในวงสนทนา ประกอบด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาค 1 พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก ฯลฯ

มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนถึงผลดี ผลเสียกันอย่างกว้างขวาง จบท้ายที่ นายกรัฐมนตรี ฝากให้ทหารซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติไปพิจารณาว่า เป็นมาตรการที่เหมาะสมหรือไม่

เป็นข้อเสนอก่อนที่ทหารจะเข้ากระชับวงล้อมอย่างเข้มข้นรอบบริเวณพื้นที่ราชประสงค์ จนเกิดเหตุก่อการร้ายแดงบุกเข้าโจมตีด่านของทหารนับตั้งแต่ช่วงวันที่ 14 พ.ค. เป็นต้นมา

กระทั่งมาถึงเช้าของวันที่ 16 พ.ค. วงสนทนาเกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้นำเหล่าทัพตกผลึกเห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีว่า ถึงเวลาแล้วที่จะใช้มาตรการนี้ จึงเป็นที่มาของการพูดถึงมาตรการเคอฟิวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์

จากนั้น พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ออกมาแถลงย้ำอีกครั้ง ถึงการประกาศเคอฟิวคงเหลือแค่การกำหนดพื้นที่ให้ชัดเจนว่า จะประกาศในจุดใดบ้างเท่านั้น พร้อมกับระบุว่าจะมีการแถลงอีกครั้งในช่วงบ่าย

เหตุการณ์มาพลิกผันเมื่อ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ทะลุกลางปล้องต่อหน้า นายกรัฐมนตรี ผบ.ทบ. รมว.กลาโหม สุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา และ ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศธ. โดยอ้างว่า

ในฐานะเป็นผู้บังคับหน่วยได้สอบถามเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติแล้ว ไม่มีใครต้องการให้ประกาศเคอฟิว เพราะเห็นว่าจะกระทบกับการใช้ชีวิตของประชาชนโดยรวม และไม่ได้มีส่วนช่วยมากนักในการควบคุมสถานการณ์

ข่าววงในระบุว่า คำพูดดังกล่าวของ พล.ท.คณิต ทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับอึ้ง เพราะคาดไม่ถึงว่า พล.ท.คณิต จะเสนอแนวทางเช่นนั้น หลังจากที่มีการพูดคุยกันมาแล้วหลายครั้ง กระทั่งนายกฯอภิสิทธิ์กล่าวขึ้นมาว่า

“มาตรการเคอฟิวเป็นเรื่องที่ระดับปฏิบัติจะทราบดีที่สุดว่าควรจะนำมาใช้หรือไม่ เมื่อเห็นว่ายังไม่เหมาะสม ท่านต้องเป็นคนไปอธิบายต่อสังคมว่ามีเหตุผลอะไร อย่าให้มีการบิดเบือนว่านโยบายของฝ่ายการเมืองไปห้ามพวกท่าน ไปห้ามทหารไม่ให้มีกลไกหรือเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงาน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมันไม่เป็นธรรมและไม่เป็นความจริง”

ว่ากันว่า เจอเข้าดอกนี้ พล.ท.คณิต ถึงกับหน้าถอดสี

ที่สำคัญคือ หลังสถานการณ์นั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่ยอมชี้แจงต่อสาธารณชน ส่ง พล.ท.อักษรา เกิดผล ผู้ช่วยเสธ.ทบ.ฝ่ายยุทธการ มารับหน้าเสื่อแถลงผ่านทีวีพูลแทน

อีกเหตุการณ์ที่น่าสนใจ คือ ในวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ พล.ต.อุทิศ สุนทร ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 พล.ต.สุรศักดิ์ บุญศิริ ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษก ศอฉ. ร่วมกันชี้แจงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจในการควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณแยกราชประสงค์นั้น

ระหว่างการชี้แจงเหตุการณ์ของ พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งกำลังอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงคืนวันที่ 14 พ.ค. ปรากฏภาพผ่านทีวีพูลว่า พล.ต.กัมปนาท เหลือบมองไปทางด้านซ้ายมือ ซึ่งมี พล.ท.คณิต นั่งขนาบอยู่ และเกิดอาการละล้าละลังขึ้นชั่วครู่ ก่อนจะสรุปจบคำอธิบายไป เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ยังพูดไม่จบเพราะถูกสะกิดห้าม

มีคำอธิบายเรื่องนี้เป็นการภายในว่า ในขณะนั้น พล.ต.กัมปนาท ตั้งใจจะเล่าเหตุการณ์จริงว่า คืนวันที่ 14 พ.ค. มีกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธประมาณ 10 คน ใช้ยุทธวิธีแบบทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ด้วยการหมอบราบกับพื้นแล้วคืบเข้าหาด่านทหารพร้อมอาวุธสงคราม ทำให้ทหารประจำการในขณะนั้นยิงปืนขู่ไปแต่กลับมิอาจหยุดยั้งได้ โดยกลุ่มก่อการร้ายดังกล่าวยังคงเคลื่อนตัวเข้าหาเพื่อโจมตีฝ่ายทหาร จึงมีความจำเป็นที่ทหารต้องยิงสกัดเพื่อยับยั้งการกระทำที่ประสงค์ต่อชีวิตของทหารดังกล่าว และก็ได้ผลกลุ่มก่อการร้ายถอยร่นกลับออกไป

ไม่มีใครรู้เหตุผลว่า ทำไม...จึงห้าม ไม่ให้ พล.ต.กัมปนาท พูดความจริงต่อประชาชน

หากวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของ พล.ท.คณิต จะเห็นว่ามีหลายอย่างที่น่าตั้งข้อสงสัย เพราะในขณะที่หลายคนฝากความหวังให้เขาช่วยกอบกู้บ้านเมือง จนออกมาเสนอให้เขาประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ราชประสงค์ เพื่อคืนความสงบให้กับประเทศ

แต่เขากลับไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย อ้างว่าฝ่ายการเมืองยับยั้ง ทั้งที่ในข้อเท็จจริงเป็นอำนาจเต็มของแม่ทัพภาค 1 ที่จะประกาศใช้กฎอัยการศึกได้

และก่อนที่สถานการณ์จะเดินมาถึงจุดนี้ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ 10 เมษาวิปโยค ก็มีการพูดคุยกันหลายครั้งว่า จำเป็นต้องออกมาตรการใดเพิ่มเติมเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วหรือไม่ ซึ่งบรรดาผู้นำเหล่าทัพรับทราบดีว่า อภิสิทธิ์ ไม่เคยยับยั้ง ตรงกันข้ามเขาพร้อมที่จะให้ทหารเข้ามามีบทบาทจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มตัว

แต่คนที่ไม่กล้าทำ และลอยตัวเองอยู่เหนือปัญหาในวันนี้ คือใคร ถึงตรงนี้คงไม่ต้องประจาน

ความชัดเจนในพฤติกรรมชี้ให้เห็นว่า ถ้าวันนี้ ใครไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบต่อภารกิจปกป้องบ้านเมืองจากผู้ก่อการร้ายแดง ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ถ้าฟันเฟืองตัวหนึ่งตัวใดสะดุด รังแต่จะทำให้การขับเคลื่อนทั้งระบบต้องได้รับผลกระทบจนเสียกระบวนทัพไปด้วย เป็นหน้าที่ของ ผบ.ทบ.ต้องพิจารณาให้ชัด เลือกคนให้ถูกไปทำหน้าที่แม่ทัพแทน

เพราะไม่เพียง ใครบางคนจะไม่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลัง ทั้งที่พื้นที่ก่อการร้ายอยู่ในความรับผิดชอบของเขาโดยตรงเท่านั้น แต่ยังมีความพยายามปล่อยข่าวให้เกิดความเข้าใจผิดต่อฝ่ายการเมือง และทำให้ นายทหารบางคนเป็นแพะรับบาปในสถานการณ์นี้ด้วย

เป็นความจริงที่ว่าในเบื้องต้น พล.อ.อนุพงษ์ ละล้าละลังไม่กล้าดำเนินการใด ๆ ในการปกป้องชาติบ้านเมืองจากภัยคุกคามด้านความมั่นคง เนื่องจากอยากประคองตัวเองรอวันเกษียณในเดือนกันยายน แต่เมื่อสถานการณ์งวดเข้ามาประกอบกับสังคม เรียกร้อง กดดัน ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ เริ่มขยับกลับเข้าสู่การเป็นทหารอาชีพ โดยจะเห็นได้จากการเดินหน้าของกองทัพเป็นไปอย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

กองทัพต้องเป็นหลักให้กับบ้านเมือง ทำหน้าที่รักษารัฐไทย ไม่ใช่รัฐบาล

เพราะหากมัวแต่นั่งกลัวความสูญเสียวันนี้ โดยไม่แยกแยะให้ชัดเจนว่าสาเหตุแห่งความสูญเสียมาจาก ทักษิณ ชินวัตร ที่วางแผนอย่างเป็นระบบจากต่างประเทศ นำคนไทยเข้าสู่กับดักของความรุนแรง

เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ ด้วยการชักศึกเข้าบ้าน ให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทยด้วยการสร้างสงครามกลางเมือง เพื่อให้นานาชาติยอมรับเขาในฐานะผู้นำมวลชนที่มีอำนาจรัฐซ้อนอำนาจรัฐไทยอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะทำให้เขากลับประเทศไทยได้โดยเร็วและไม่จำเป็นต้องก้าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของไทย เพราะระบบทุกอย่างในบ้านเมืองได้ถูกฉีกทิ้งไปหมดแล้ว โดยมีแผนให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงประเทศไทยในฐานะ “รัฐล้มเหลว”

ผู้นำเหล่าทัพต้องอย่าละล้าละลัง หรือกลัวความสูญเสีย เพราะการต่อสู้ในวันนี้มีชาติบ้านเมืองและสิ่งที่คนไทยทั้งชาติหวงแหน คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเดิมพัน

อภิสิทธิ์ และ กองทัพไทย ไม่มีสิทธิ์ล้มเลิก หรือ ล้มเหลวในภารกิจนี้

ขณะเดียวกันสังคมต้องร่วมกันแสดงออกให้กองทัพเห็นชัดเจนว่า มีแต่การเดินหน้าปกป้องบ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวเท่านั้นจึงจะนำชาติผ่านพ้นวิกฤติร้ายแรงครั้งนี้ไปได้

อย่าปล่อยให้ อภิสิทธิ์ และกองทัพ โดดเดี่ยว ท่ามกลางการบิดเบือนข่าวสารที่พยายามทำให้รัฐบาล และทหารตกเป็นจำเลยสั่งฆ่าประชาชน เราต้องให้กำลังใจส่งเสียงดัง ๆ สนับสนุนให้รัฐบาลและกองทัพทำในสิ่งที่ถูกต้อง ปกป้องชาติ บ้านเมืองต่อไป

สังคมไทยและรัฐไทยต้องเป็นหลักซึ่งกันและกัน เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า คนไทยจะไม่ยอมให้มีการล้มรัฐไทยเพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ ตามแผนชั่วของ ทักษิณ ชินวัตร

Read more...

ทักษิณไม่ยอมให้ยุติการชุมนุม


ก่อนเกิดเหตุพยายามลอบสังหาร 'เสธ.แดง' เขาบอกกับนักข่าวสำนักข่าวเนชั่นตอนหนึ่งว่า พี่ทักษิณเขาไม่ให้ม็อบเลิกหรอก เพราะถ้าเลิกก็ไม่ได้กลับบ้าน

ผมยังรอให้ คุณทักษิณ ชินวัตร ออกมาปฏิเสธประโยคนี้ แต่ไม่มีคำอธิบายจาก “นายใหญ่” คนนี้

แต่กลับมีข้อเสนอ 4 ข้อ ที่ส่งผ่าน คุณนพดล ปัทมะ ที่ขัดกับสิ่งที่ “เสธ.แดง” ได้อ้างคำกล่าวของทักษิณโดยสิ้นเชิง

ข้อเสนอล่าสุดของทักษิณต่อนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 4 ประเด็น คือ

1. ยุติการใช้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจพร้อมอาวุธสงครามร้ายแรง ทำการสลายการชุมนุมของประชาชนโดยทันที และสั่งให้เจ้าหน้าที่กลับกรมกอง ที่ตั้ง
2. ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ประกาศในทุกจังหวัดโดยทันที
3. เปิดการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมโดยทันที เพื่อหาทางออกทางการเมืองโดยสันติวิธี และ
4. ร่วมเจรจาหาแนวทางปรองดองอย่างแท้จริงกับทุกฝ่ายในชาติ เพื่อให้ประเทศชาติที่มีประชาธิปไตยและความยุติธรรม

แถลงการณ์ฉบับนี้ บอกต่อด้วยว่า “ในขณะนี้ ประเทศยังพอมีทางออก และนายกรัฐมนตรีสามารถป้องกันการสูญเสียเฉพาะหน้า และนำชาติพ้นภัย ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ว่า จะเลือกแนวทางใด ระหว่างสันติวิธีกับการใช้ความรุนแรง”

ย้อนไปดูวีดิโอลิงค์ของทักษิณ ตั้งแต่การชุมนุมของคนเสื้อแดง เริ่มต้นมาก็จะเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏในแถลงการณ์นี้ กับที่เขาเคยประกาศปลุกระดมให้ผู้คนมาร่วมกันต่อสู้ “เพื่อประชาธิปไตยอันแท้จริง” นั้น เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง

เพราะเมื่อเขาเรียกร้องให้มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ “ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน” และนายกฯ อภิสิทธิ์ กำหนดวันเลือกตั้ง 14 พฤศจิกายนแล้วด้วยซ้ำ เหตุไฉนทักษิณจึงยัง “ไม่ยอมให้ม็อบสลายตัว” อย่างที่ “เสธ. แดง” บอกกับนักข่าว?

หากการชุมนุมของคนเสื้อแดง “เกินเลยเรื่องของผมแล้ว” อย่างที่ทักษิณกล่าวอ้างในช่วงหลัง ไฉนเขาจึงเรียกร้องให้ “พี่น้องมากันเยอะๆ ... คิดถึงผมไหม ผมจะกลับประเทศเพื่อยกเลิกหนี้สิน และให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ... และจะสร้างเขื่อนรอบๆ กรุงเทพฯ เพื่อป้องกันน้ำท่วม”

ข้อเรียกร้องล่าสุดของทักษิณ ไม่จำเป็นเลย หากแกนนำ นปช. เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการปรองดอง เพื่อนำไปสู่การยุบสภาและเลือกตั้งตามที่นายกฯ อภิสิทธิ์เสนอ เพราะหากเข้าสู่กระบวนการนี้แล้ว ข้อเรียกร้องข้อ 1 และข้อ 2 ของทักษิณก็ไม่มีความจำเป็น

เพราะทหารและตำรวจ ก็ต้องกลับกรมกอง และประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

ข้อเรียกร้องที่สามของทักษิณ ที่ให้มีการ “เปิดการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมทันที เพื่อหาทางออกทางการเมืองโดยสันติวิธี” นั้น เป็นข้อที่สร้างความประหลาดใจพอสมควร

เพราะทันทีที่ทักษิณออกแถลงการณ์นี้ แกนนำเสื้อแดง อย่าง คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ประกาศกลางเวที ว่า “สถานการณ์มาถึงจุดนี้ เกินเลยการเจรจาแล้ว นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องลาออกอย่างเดียว”

และวันต่อมา แกนนำเสื้อแดงอีกคนหนึ่ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลับเสนอให้มีการเจรจากับรัฐบาล แต่มีเงื่อนไขใหม่ นั่นคือ สหประชาชาติต้องเป็น “คนกลาง”

นี่แปลว่า ทักษิณไม่อาจจะคุมสถานการณ์ของคนเสื้อแดงได้อีกต่อไปแล้ว

หรือนี่เป็นการเล่นเกมสองหน้า... ด้านหนึ่ง ประกาศก้องว่านี่คือการต่อสู้เพื่อ “ประชาธิปไตยด้วยสันติวิธีและอหิงสา”

อีกด้านหนึ่ง คือ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” และ “จปร.รุ่นมีบัญชีต้องสะสาง” ที่อยู่เบื้องหลัง “ยุทธการบนท้องถนน” ที่พรั่งพร้อมไปด้วยเอ็ม 79 และอาวุธสงครามอื่นๆ

กลุ่มแรกกับกลุ่มสอง และกลุ่มอื่นๆ รับรู้ในการปฏิบัติการต่างๆ ของ “เครือข่าย” ที่โยงไปถึงทักษิณ มากน้อยเพียงใดไม่มีใครรู้ เพราะทักษิณอาจจะเดินแผน “แยกกันตี” เพื่อบรรลุเป้าหมายสุดท้ายของตน นั่นคือ การกลับมามีอำนาจทางการเมือง ไม่ต้องรับโทษตามคำสั่งของศาล และเอาทรัพย์สินเงินทองที่ถูกยึดตามคำพิพากษาของศาลกลับคืนมา

สำหรับเขาเป้าหมายไม่เคยเปลี่ยน วิธีการต่างๆ เท่านั้น ปรับไปตามจังหวะจะโคน ตามการขึ้นลงของอำนาจต่อรองของตนในแต่ละย่างก้าว

แต่บาปกรรมที่ได้ก่อเอาไว้ก็คือว่า เพราะ “กลยุทธ์หลายหน้า” ของทักษิณ ทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็น “war zone” และการจลาจลที่เกิดขึ้น ทำให้คนไทยต้องเสียชีวิต เลือดเนื้อ และบ้านเมืองต้องแตกแยกไม่มีชิ้นดี

นอกจากทักษิณ จะถามอภิสิทธิ์ ว่า "จะเลือกแนวทางใด ระหว่างสันติวิธีกับการใช้ความรุนแรง" อย่างที่ปรากฏในแถลงการณ์ฉบับล่าสุดแล้ว ทักษิณก็จะต้องย้อนถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน

เพราะตราบเท่าที่เขายังใช้ “ม็อบ” เป็นอำนาจต่อรองของตน เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตและเลือดเนื้อ ของพี่น้องร่วมชาติ ที่ตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงภัยทุกชั่วโมง โดยที่เจ้าตัวเสวยสุขอยู่ต่างแดนเช่นที่เห็นอยู่และเป็นไป

Read more...

ถอดหน้ากาก โรเบิร์ท อัมสเตอร์ดัม ทนายทักษิณ

สองสามวันที่ผ่านมา ชื่อของโรเบิร์ท อัมสเตอร์ดัมก็เป็นที่สนใจของคนไทยขึ้นมาในฐานะทนายใหม่ของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรหลายๆคนคงอยากจะทราบว่าเขาเป็นใครมาจากไหนเราได้เจอบทความบทหนึ่งที่ตอบคำถามของพวกเราได้น่าสนใจถึงความเป็นมาและความน่าเชื่อถือของเขา

ในสมัยเรียนมัธยมปลายโรเบิร์ทได้เลิกเรียนไปพักหนึ่งแต่โรเบิร์ทก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย ออตตาว่า และได้ลงเรียนวิชา ลักธิมารกซิส และได้ปริญญาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยควีนส์ในปี 1978และได้อนุญาติให้ว่าความในอีกสองปีต่อมาซึ่งเขาได้ตั้งสำนักกฎหมายร่วมกับเพื่อน Dean Peroff ชื่อ Amsterdam &Peroff ที่เมืองโตรอนโต้ แคนาดา


ซึ่งถ้าเข้าไปดูในเว็บไซท์ของ Amsterdam & Peroffจะเห็นประวัติการทำงานของโรเบิร์ทในช่วงเวลา25 ปีที่ผ่านมาว่าเขาใช้โอกาสจากสถานการณ์ "ข้อขัดแย้งในโลกสากล" เช่นในประเทศ ฮังการีไนจีเรีย เวเนซูเอล่า และ กัวเตมาลา เพื่อสร้างชื่อให้กับตัวเองและมีการระบุว่าเขาชำนาญการเป็นพิเศษใน"คดีที่อ่อนไหวเป็นพิเศษทางการเมือง"


คดีที่ทำให้โรเบิร์ท อัมสเตอร์ดัม มีชื่อเสียงมากที่สุดคือคดีของโคดอร์โคฟสกี้ ในปี 2004ที่ประเทศรัสเซียซึ่งบทบาทหลักของโรเบิร์ทกลับไม่ใช่บทบาทในการใช้ข้อกฎหมายในรัสเซียแต่อย่างใดแต่คือการเผยแพร่บิดเบือนข่าวสารของ โคดอร์โคฟสกี้ ไปสู่ชาวโลกสร้างภาพให้โคดอร์โคฟสกี้กลายเป็นเหยื่อของรัฐบาลรัสเซีย หรือเปลี่ยนให้โคดอร์โคฟสกี้ เป็น "สัญลักษณ์"ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโคดอร์โคฟสกี้นั้นเป็นหนึ่งนักธุรกิจคอรัปชั่นผู้นิยมใช้วิธีการที่รุนแรงใต้ดินของรัสเซียเเต่โรเบิร์ทพยายามวาดภาพให้โคดอร์โคฟสกี้เป็นนักธุรกิจหัวเสรีผู้เป็นอิสระทางการเมืองผู้ถูกลงโทษอย่างไม่ยุติธรรมเพราะเหตุว่าเขาเชื่อในหลักตลาดเสรีและอิสระภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ตามวิธีของโรเบิร์ทไม่ได้ผลท้ายที่สุด เพราะในที่สุดโคดอร์โคฟสกี้ต้องจำคุกนาน 8 ปีและวีซ่าของโรเบิร์ทก็ถูกเพิกถอนและต้องถูกให้ออกจากรัสเซียในที่สุด

แต่อย่างไรก็ตามเเม้ว่าโคดอร์โคฟสกี้จะถูกศาลตัดสิน โรเบิร์ทก็ยังรับเงินเเละเดินหน้าทำงานให้กับโคดอร์โคฟสกี้ ต่อไป

วิธีการทำงานของโรเบิร์ท:

เพื่อนเก่าของโรเบิร์ทได้พูดถึงโรเบิร์ทว่าเป็นคนประเภทที่ขี้โม้เเละเจ้าอารมณ์มากกว่าใช้ตรรกะและกฎกระบวนการในการแสดงจุดยืนของเขาซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีสำหรับการเป็นทนายความแต่เป็นคุณสมบัติที่ดีกว่ามากสำหรับการเป็นลอบบี้ยิสท์


Amsterdam & Peroff นั้นมีเว็บลิงค์ตรงไปสู่ blogของโรเบิร์ทสองเว็บไซท์คือwww.corporateforeignpolicy.com and www.robertamsterdam.com ซึ่งติดอันดับการค้นหาสูงสุดแรกๆของรัสเซียเว็บนี้มีหลายภาษาในขณะนี้ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศษ โปแลนด์ เยอรมันและเสปนซึ่งทั้งสอง blog นี้มีการจัดการดูแลโดยมืออาชีพ และจะมีการโพสท์ข้อมูลที่เป็นลบกับภาพพจน์ของประเทศรัสเซีย และยังมี blogอื่นๆที่สามารถค้นหาที่มาต้นตอได้ว่าจากโรเบิร์ทเอง


แต่ทว่าหน้าที่ผู้ดูแล blogมากมายที่กล่าวมานี้ที่แท้จริงกลับเป็นการว่าจ้างต่อให้ บริษัทภายนอกชื่อK Social Media Consultingซึ่งจากข้อมุลในเว็บไซท์ได้อ้างว่ามีความเชี่ยวชาญในเรื่องความสัมพันธ์กับสื่อ กลยุทธ์ social media และการจัดทำและดูแล blogด้านธุรกิจและการสนับสนุนเรื่องราวต่างๆรวมถึงการดูแลข้อมูลและการสื่อสารขององค์กรณ์

และที่น่าสนใจกว่านั้นคือในสิ่งที่โรเบอร์ททำเกี่ยวกับ blog โดยเฉพาะblog ที่อุทิศให้กับ โคดอร์โคฟสกี้www.letthemgonow.com,www.khodorkovsky.comนั้นแสดงให้เห็นว่าโรเบิร์ทนั้นเกือบจะทำผิดนกฎข้อปฎิบัติของสามาคมนักกฎหมายแคนาดาเช่นเดียวกับสมาคมนักกฎหมายอังกฤษและเวลส์

นอกจากนั้น โรเบิร์ทมักจะตัดต่อบทความหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์อื่นๆมาใช้เช่นจากหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journalซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาโดยยังไม่ได้รับการลงโทษ


และที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นประวัติของโรเบิร์ทในเว็บไซท์ของเขาเองระบุว่าโรเบิร์ทนั้นเป็นสมาชิกขององค์กรณ์ผู้มีสิทธิว่าความที่นิวยอร์ค(the New York Bar Association)(www.amsterdamandperoff.com/amsterdam.html)ซึ่งความเป็นจริงแล้วเขายังไม่เป็นสมาชิกซึ่งการให้ข้อมูลดังกล่าวเป็นการให้ข้อมูลเท็จโดยเฉพาะจากทนายความที่ควรจะปกป้องกระบวนการทางกฎหมายทั่วโลก

จริงๆแล้วงานของโรเบิร์ทนั้นไม่ใช่เป็นการดูแลภาพพจน์ส่วนตัวและไม่ใช่บทบาทต่อต้านกับสิ่งที่โรเบิร์ทเองเรียกว่าระบบการปกครองที่ฉ้อฉลแต่ในฐานะทนายความแล้วโรเบิร์ทควรจะพยายามสูงสุดในการที่จะทำให้ลูกความของเขาได้รับการปล่อยตัวแต่จากข้อเท็จจริงไม่ได้ระบุว่าโรเบิร์ทมีความพยายามนั้นเลย และเมื่อโคดอร์โคฟสกี้ นั้นได้ประสบกับข้อกล่าวหาที่อาจทำให้เขาต้องจำคุกนานถึงยี่สิบปีจริงๆโคดอร์โคฟสกี้อาจจะต้องเป็นคนตั้งคำถามคนแรกว่า ใครคือโรเบิร์ทอัมสเตอร์ดัม

Read more...

DekYham - RedShit (เด็กหยาม - ควายแดง)

Read more...

ให้ฉันดูแลเธอ.wmv.wmv

Read more...

แฉเบิกท่อน้ำเลี้ยง2หมื่นล.

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ดีเอสไอเดินหน้าสั่งสถาบันการเงินส่งเส้นทางเงินท่อน้ำเสี้ยง 106 รายชื่อ ภายใน 20 พ.ค. ฝ่าฝืนคุก 2 ปี ขณะที่สมุนทักษิณเรียงหน้าโวยลั่น "พันธุ์เลิศ" ขู่ฟ่ออย่ามาตีเมืองขึ้น ลั่นไม่สยบให้ ศอฉ. ขณะที่ ส.ส.กทม.เพื่อไทย คิดไปไกลอ้างแผนแบล็กเมล์เลือกตั้ง ส.ข. "เทพไท" อ้างการข่าว 6 เดือน เบิกเงินสดไปแล้ว 2 หมื่นกว่าล้าน ช่วงวิกฤติเบิกสดๆ ไปอีก 7 พันล้าน
เมื่อวันจันทร์ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และผู้แทนกรมสรรพากร ได้ประชุมร่วมกันเพื่อวางแนวทางการปฏิบัติตามคำสั่ง ศอฉ. เรื่องการห้ามมิให้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับธุรกรรมการเงินของบุคคลและนิติบุคคล 106 ราย
มีการเชิญผู้แทนสถาบันการเงิน ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย และสหกรณ์ ที่เปิดกิจการในประเทศไทยกว่า 80 แห่ง เข้ารับทราบแนวทางปฏิบัติ พร้อมกำชับให้สถาบันการเงินส่งข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของ 106 รายชื่อ ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.52 จนถึงวันที่ 17 พ.ค.53 มายัง ศอฉ.ภายในวันที่ 20 พ.ค.นี้ ผู้ฝ่าฝืนจะไม่ได้รับการผ่อนผัน โดยถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท นับเป็นรายธุรกรรม
นายธาริตกล่าวว่า ศอฉ.ได้ประกาศคำสั่งระงับธุรกรรมการเงิน 106 ราย ในวันที่ 16 พ.ค. โดยคำสั่งถือว่ามีผลหลังเวลา 24.00 น. ของวันที่ 16 พ.ค. หากสถาบันการเงินใดยอมให้มีการเบิกถอนเงินตั้งแต่เวลาดังกล่าว จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ซึ่ง ศอฉ.จะประกาศรายชื่อบุคคลและนิติบุคคลที่ถูกระงับการทำธุรกรรมเพิ่มเติมอีกกว่า 10 ราย
ด้าน พ.ต.อ.สีหนาทได้อธิบายเพิ่มเติมว่า สำหรับ 106 รายชื่อ ให้หมายความรวมถึงผู้ได้รับผลประโยชน์ในทอดสุดท้าย ได้แก่ บุคคลที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง หรือผู้มีอำนาจควบคุมการทำธุรกรรมในลักษณะการครอบงำกิจการ ไม่รวมถึงบุตรหรือภรรยาของ 106 รายชื่อ ส่วนรายที่เป็นนิติบุคคลให้รายงานธุรกรรมของกรรมการ หรือผู้ถือหุ้นบริษัทที่มีสัดส่วนหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป และหากบุคคลที่มีรายชื่อใน 106 รายชื่อ เข้าไปถือหุ้นอยู่ในบริษัทใดนอกเหนือจากนิติบุคคล 13 รายชื่อ ให้สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องนำส่งรายงานธุรกรรมย้อนลงด้วย
ทั้งนี้ รวมถึงการทำธุรกรรมของผู้รับมอบอำนาจแทนทั้ง 106 รายชื่อ หากสถาบันการเงินหลีกเลี่ยงไม่รายงาน แม้จะไม่มีความผิดฐานขัดคำสั่ง ศอฉ. แต่จะมีความผิดตามกฎหมายการฟอกเงิน
ผู้แทนธนาคารซักถามว่า หากลูกค้าต้องการตัดบัญชีธนาคารเพื่อชำระหนี้ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ รวมถึงรายการใช้จ่ายอื่นๆ จะทำอย่างไร พ.ต.อ.สีหนาทกล่าวว่า ศอฉ.ประกาศชัดเจนให้เจ้าหน้าที่ธนาคารและลูกค้านำเอกสารรายการการชำระภาษีย้อนหลัง 3 ปี ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพ รายได้ และระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายจ่ายเข้ายื่นคำขอเพื่อขอเบิก ถอนเงินไปใช้ โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่าจะนำเงินไปใช้จ่ายอย่างไร ซึ่ง ศอฉ.จะพิจารณาอนุญาตเป็นรายบุคคล และรายธุรกรรม
พ.ต.อ.สีหนาทกล่าวอีกว่า ในส่วนของสถาบันการเงินยังต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมย้อนหลังของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มายัง ศอฉ.เพื่อตรวจสอบว่ามีที่มาของเงินฝากจากแหล่งใดบ้าง
รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำหรับนิติบุคคลที่ ศอฉ.จะประกาศเพิ่มเติมอีก 4 รายการ ประกอบด้วย บริษัท เวิร์ค ซัพพลายด์, บริษัท บีบีดี ดิเวลล็อปเม้นท์, บริษัท บีบีดี พร็อพเพอร์ตี้ และบริษัท เอสซี แอสเสท โอเปอร์เรชั่น
สำหรับแนวทางการปฏิบัติตามคำสั่ง ศอฉ.ที่ 49/2553 เกี่ยวกับแนวทางในการพิจารณาข้อเท็จจริงของลูกค้าที่เป็นบุคคล หรือนิติบุคคล ว่าการทำนิติกรรมสัญญา หรือการดำเนินการใดๆ ทางการเงิน ทางธุรกิจ หรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าเป็นหรือไม่ได้เป็นการประทำ หรือสนับสนุนการกระทำเพื่อให้เกิดเหตุสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง อ่านรายละเอียดได้ที่หน้า 2
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการตรวจสอบบัญชีรายชื่อของผู้ที่ถูก ศอฉ.อายัดบัญชี 106 เครือข่าย นปช. แต่เนื่องจากธนาคารมีสาขามากกว่า 600 สาขา ทำให้การตรวจสอบข้อมูลทำได้ยาก จึงต้องใช้เวลาระยะหนึ่งก่อนได้ข้อสรุป
ขณะที่กลุ่ม 106 รายชื่อ ไม่พอใจกับการกระทำของ ศอฉ. ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสิ้นเชิง
นายพันธุ์เลิศ ใบหยก เจ้าของกลุ่มโรงแรมใบหยก กล่าวว่า ไม่ทราบว่าตนไปเกี่ยวอะไรด้วย ถึงเอาชื่อตนไปโยงเกี่ยวข้องกับกลุ่ม นปช. เชื่อว่าคนที่รู้จักตนดีและรู้ตัวเองดีว่า ที่ผ่านมาได้ทำอะไร หรือไม่ทำอะไร ถึงมากล่าวหาว่าตนเป็นนอมินี หากจะตรวจสอบก็เข้ามาตรวจสอบได้เลย เพราะมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
"น่าผิดหวังกับ ศอฉ.ว่าผมไปเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะมองว่าผมเคยเป็นสมาชิอกพรรคไทยรักไทย แต่ก็ 4 ปีมาแล้ว จะมาหาว่าผมไปเป็นพวก นปช.ได้อย่างไร"
นายพันธุ์เลิศเชื่อว่านี่คือการเชือดไก่ให้ลิงดู ตนไม่ห่วงให้ไปตรวจสอบบัญชีการเงินของธนาคารได้ กลัวอย่างเดียวคือการกลั่นแกล้งกัน ขณะนี้ได้รับความเดือดร้อนค่อนข้างมาก ทหารปิดถนน โรงแรมของตนก็ต้องปิด ธุรกิจเดือดร้อนไปหมด แถมมาออกแบล็กลิสต์แบบนี้โดยไม่ให้โอกาสชี้แจง ทำแบบนี้ได้อย่างไร ใช้อำนาจล้นฟ้าโดยไม่มีคณะกรรมการกลั่นกรอง อาจให้ตนเข้าไปวิ่งหาที่ ศอฉ.ทำเหมือนจะเอาเป็นเมืองขึ้น แต่ยืนยันว่าไม่ไปแน่ เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ขณะนี้นักธุรกิจคนอื่นที่โดนมาตรการเช่นนี้เริ่มหวาดผวากันแล้ว
ด้านนางพิมพา จันทร์ประสงค์ อดีตรัฐมนตรีและ ส.ส.นนทบุรี กล่าวว่า ครอบครัวของตนมีความจงรักภักดี เคารพและเทิดทูนพระมหากษัตริย์ เชื่อมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เนื่องจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบก็มิได้เคลื่อนไหวใดๆ ทางการเมือง อีกทั้งบุตรชายคือ นายมานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์ ส.ส.นนทบุรี พรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของพรรคร่วมรัฐบาล ได้ดำเนินการต่างๆ ภายใต้นโยบายของรัฐบาลมาตลอด
นางบอกว่า ศอฉ.อาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือเข้าใจผิด คิดว่าตนยังทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เขาอาจมองว่า ตนสนิทกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่สมัยพรรคพลังธรรม และพรรคไทยรักไทย แต่ในความเป็นจริงเมื่อตนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันแล้ว
"อีกทั้งคำพูดของ ศอฉ.ที่กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ก็เท่ากับกล่าวหาดิฉันว่าเป็นผู้สนับสนุนผู้ก่อการร้าย ตามที่ ศอฉ.พูดด้วย จึงขอให้ ศอฉ.แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องและประกาศให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบด้วย" นางพิมพากล่าว
ส่วนนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อดีต รมช.พาณิชย์ คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ได้เตรียมที่จะปรึกษาฝ่ายกฎหมายแล้ว เพราะตนเป็นนักธุรกิจจะต้องทำธุรกิจเพื่อหารายได้ การมาสั่งห้ามทำธุรกรรมทางการเงินด้วยความลุแก่อำนาจของรัฐบาลและ ศอฉ. สร้างความเสียหายให้อย่างมาก
"แม้ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว จะเป็นสถานที่ตั้งของสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชนแนล ก็เป็นในลักษณะของการเช่าพื้นที่ทางธุรกิจ ซึ่งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องอื่นๆ อย่างเอ็มวี และมีเดียออฟมีเดียส์ก็มาเช่าพื้นที่เช่นกัน" นายสงคราม ซึ่งมีบุตรสาวขึ้นเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงในฐานะนักวิชาการกล่าว
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณแถลงว่า ตนเป็นหนึ่งในรายชื่อนั้นเช่นเดียวกัน แต่ไม่เดือดร้อน เพราะไม่ได้มีเงินมากมายอะไร แต่มองว่ามาตรการของ ศอฉ.เป็นการเหวี่ยงแห ละเมิดสิทธิประชาชน เพราะเชื่อว่าคนที่มีรายชื่อตามประกาศ รวมทั้งแนวร่วม นปช.ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ทั้งนี้ ตนดำเนินการเพื่อจะฟ้องร้อง ศอฉ. ที่กระทำการลุแก่อำนาจเช่นนี้
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย คนใกล้ชิดคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย มีรายชื่อใน 106 คนเกือบครบทั้งหมด จะขาดก็เพียงนายดนุพร ปุณณกัณต์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย เพียงคนเดียว
"จากรายชื่อทั้ง 106 คน ปรากฏว่า ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย และแกนนำภาค กทม.โดนกันหมด ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ ส.ส.กทม.ไม่มีปัญญาจะไปสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงได้ขนาดนั้น แต่เป็นการพยายามตัดหัว ตัดแขนและตัดขา ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ได้โอกาสขี่คอในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) กรุงเทพฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 มิถุนายน"
แต่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โต้ว่าเป็นความเข้าใจผิดสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่พยายามจะเบี่ยงเบนนำเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกับการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ข. ซึ่งไม่มีมูลความจริง เป็นการแสดงความเห็นในลักษณะหวังผลทางการเมืองมากกว่าข้อเท็จจริงที่มีอยู่
นายเทพไทกล่าวว่า จากข้อมูลการข่าวได้มีการตรวจพบความผิดปกติของเส้นทางการเงินในกลุ่มคนที่เป็นเครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณคนหนึ่งว่า ช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา มีการเบิกเงินสดจากสถาบันการเงินต่างๆ โดยไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงมาจำนวนสูงถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาท และเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1-15 พ.ค. มีการเบิกเงินสดจากสถาบันการเงินต่างๆ อีกประมาณ 7 พันล้านบาท จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าจำนวนเงินดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่ม นปช.หรือไม่ และเงินดังกล่าวได้นำไปใช้ในการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ สนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายที่กำลังปฏิบัติการล้มล้างอำนาจรัฐในขณะนี้หรือไม่.

Read more...

ร้องคุณพ่อยูเอ็น ทางเลือกสุดท้ายของทักษิณ

การชุมนุมคนเสื้อแดงเลยเถิดจนได้ข้อสรุปแล้วว่า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตย หรือความยุติธรรมในสังคม แม้ช่วงเริ่มต้นการชุมนุมบางฝ่ายจะหลงมองว่าเป็นเช่นนั้น สุดท้ายการเรียกร้องเพื่อให้ระบอบทักษิณได้อำนาจและทรัพย์สมบัติคืน ได้ประจานตัวเองออกมาว่าเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว คนเสื้อแดงพร้อมที่จะแลกกับความวิบัติของประเทศ
เงื่อนไขที่นำไปสู่การร้องให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง เป็นไปได้ว่ามีการเตรียมการมาอย่างเป็นระบบ มีการแบ่งงานกันทำ โดยแต่ละทีมอาจรู้จักหรือไม่รู้จักกัน ที่สำคัญคือแต่ละทีมมีหัวหน้าคนเดียวกันคือ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร
ความรุนแรงที่นำไปสู่การล้มตายของประชาชนเป็นเงื่อนไขที่ถูกสร้างขึ้นมา มีการปล่อยให้เกิดด้วยความตั้งใจ มีความพยายามในการเพิ่มจำนวนศพให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ดูเสมือนว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เหมือนที่เคยเกิดในรวันดา หรือโซมาลีในอดีต
เมื่อตรวจสอบการปะทะที่เกิดขึ้นระหว่างคนเสื้อแดงกับทหาร ทั้งที่ถนนพระราม 4 ย่านชุมนุมบ่อนไก่ บริเวณถนนราชปรารภถึงสามเหลี่ยมดินแดง และบริเวณแยกศาลาแดง ซึ่งเป็นพื้นที่นอกการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ ทั้งหมดเป็นการเข้าโจมตีกลุ่มทหารที่ตรึงกำลังหลังเข้ากระชับพื้นที่ โดยเฉพาะการปะทะบริเวณชุมนุมบ่อนไก่ มีการใช้อาวุธหนักยิงมาจากสวนลุมพีนี คือเอ็ม 79 และตึกสูงฝั่งซอยงามดูพลี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มติดอาวุธนั้น มีอยู่ทั้งในและนอกพื้นที่การชุมนุมจำนวนมาก
การที่ไม่มีทหารเสียชีวิต ก็เป็นอีกประเด็นที่มีความพยายามยกระดับให้เป็นประเด็นที่โดดเด่นขึ้นมา เพราะบทเรียนจากเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ที่มีทหารเสียชีวิตจำนวนมากจากการตั้งใจยิง ได้กลายเป็นความผิดพลาดในเชิงยุทธศาสตร์ เมื่อคนเสื้อแดงตายและทหารก็ตายด้วย ได้เกิดข้อสงสัยที่มีการตั้งคำถามกันมากว่า คนเสื้อแดงไม่ได้ชุมนุมโดยสงบสันติอย่างแท้จริง แต่มีกองกำลังติดอาวุธสังหารเจ้าหน้าที่ทหาร และแม้แต่การปลิดชีพคนเสื้อแดงด้วยกันเอง บทเรียนครั้งนั้นจึงได้มีการปรับเปลี่ยนไม่ให้มีทหารตาย
จริงอยู่ที่ครั้งนี้ทหารเตรียมตัวมาดี ไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าใกล้ตัวได้ แต่หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ทหารทั้งหมดที่เสียชีวิตไม่ได้มีเหตุมาจากการปะทะในระยะประชิด แต่ป็นการยิงในระยะหวังผลทั้งสิ้น
จะสังเกตได้ว่า ทหารที่ปักหลักบริเวณสนามมวยลุมพินียังอยู่ในระยะยิงของเอ็ม 79 ที่ยิงมาจากภายในสวนลุมพินี แต่กลับมีคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเสียชีวิตเพราะเอ็ม 79 และการยิงจากตึกสูงแทนที่จะเป็นทหาร ปรากฏการณ์นี้ส่อให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ใหม่ของกลุ่มติดอาวุธ เป็นไปตามใบสั่งให้มีประชาชนเสียชีวิตเพียงฝ่ายเดียว เพื่อยกระดับปัญหาไปสู่เวทีโลก
การที่ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร เลือกวิธีนี้ เป็นเพราะการต่อสู้โดยใช้มวลชนเข้ากดดันให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ไม่มีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จได้ จึงต้องหันไปเล่นวิธีอื่นที่มีโอกาสมากกว่าคือใช้เวทีโลกกดดัน แต่การจะได้มาซึ่งเงื่อนไขให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาสนใจอย่างจริงจังนั้น ต้องยกระดับความรุนแรงให้มากกว่าที่เป็นอยู่
และพบว่ามีการแบ่งกันทำงานอย่างชัดเจน พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ยื่นหนังสือไปยังองค์การสหประชาชาติ แกนนำคนเสื้อแดงในพื้นที่ชุมนุมทำหน้าที่แถลงข่าวให้ความเคลื่อนไหวกับสื่อมวลชนต่างประเทศ และกองกำลังติดอาวุธมีหน้าที่สร้างเงื่อนไขให้มีการเสียชีวิต โดยมีคนเสื้อแดงตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครั้งนี้
แม้มีการปัดความรับผิดชอบโดยแกนนำคนเสื้อแดงในแยกราชประสงค์ว่า ไม่สามารถควบคุมคนเสื้อแดงที่อยู่รอบนอกได้ แต่นั่นคือสิ่งที่คนเหล่านี้อยากให้เป็น เพราะโดยสามัญสำนึกของนักประชาธิปไตยแล้ว เมื่อไม่สามารถควบคุมมวลชนได้ สิ่งที่ต้องดำเนินการในทันทีคือ สั่งยุติการชุมนุมนั้นเสีย และแกนนำคนเสื้อแดงเคยตัดสินใจเช่นนั้นมาแล้วในเหตุการณ์เมษาเลือดปีที่แล้ว
ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อน เมื่อแกนนำหัวรุนแรงเข้ากุมการนำทั้งหมด จุดจบของการชุมนุมครั้งนี้จึงมีแนวโน้มสูงที่จะมีการนองเลือดเพิ่มขึ้นอีกมากในตัวเลขที่น่าตกใจ จากการปะทะกันโดยใช้อาวุธสงคราม แต่จะไม่มีทางที่สหประชาชาติจะเข้ามาได้ เพราะนี่ไม่ใช่สงครามล้างเผ่าพันธุ์ แต่เป็นการปราบปรามผู้ก่อการร้ายที่ติดอาวุธร้ายแรง.

Read more...

"ทักษิณ-บิน ลาดิน" หัวหน้าโจรก่อการร้าย?

ราตรีกาลยิ่งทอดยาว ยิ่งหนาวและฝันร้ายนะครับ ผมคิดว่า นี่ก็ย่างเข้าวันที่ ๖-๗ ของปฏิบัติการ "ศอฉ.ขอคืนพื้นที่" จากพวกกบฏทักษิณแล้ว ฉะนั้น ไม่น่าจะปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนานเกิน วันนี้-พรุ่งนี้ ขืนปล่อยนานไป "ข่าวแต่งหน้า" ในโลกสื่อสาร จะทำให้ประชาคมโลกทิ้งน้ำหนักไปทางกบฏทักษิณ ด้วยมุมมองว่า "ประชาชนน่าจะหนุนกลุ่มกบฏมากกว่าสนับสนุนรัฐบาล" ทหารจึงเอาไม่อยู่
การขีดเส้นตายของ ศอฉ.นั้น-ขีดได้ แต่ขีดจนเปรอะ แล้วไม่มีผลอะไร ระวัง...มันจะกลายเป็น "เส้นตายตัวเอง"!
อย่าว่าแต่ประชาคมโลกเลยครับ ประชาคมไทยก็เถอะ ขืนลากสถานการณ์นานไป คนจะหน่าย อึดอัด และพาลเกลียดรัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ ที่เอาเข้าจริงก็ช่วยอะไรไม่ได้อย่างที่ใจเคยหวัง แล้วลงท้าย ความคิดสังคมก็จะตีกลับเชิงประชด
"เมื่อปราบไม่ได้ ก็ยกประเทศให้ฝ่ายกบฏทักษิณไปก็หมดเรื่อง บ้านเมืองจะได้สงบเสียที!"
ผมสะท้อนความรู้สึกของคนระดับชาวบ้านที่สื่อสารถึงผม ให้รัฐบาลและ ศอฉ.ได้ทราบ ส่วนตัวผมนั้น ก็เข้าใจในความยาก-ง่าย และขีดจำกัดหลายๆ อย่างในการทำงาน แต่จะยกเหตุนั้นไปอ้างกับชาวบ้านเขา มันก็อ้างได้ แต่จะให้เขาเข้าใจนั้น...มันยาก เพราะชาวบ้านตกอยู่ใน "สถานการณ์นรก" ด้วยตัวเขาเองจริงๆ
ก็ขอให้การเจรจาของฝ่ายรัฐกับฝ่ายกบฏที่ทำกันทั้งลับ-ทั้งแจ้งมาหลายวัน "ลงตัว" เสียที ยอม-ก็สลายม็อบกันไปเลย แต่ถ้าไม่ยอมจะปล่อยให้โยกโย้ "ซื้อเวลา" สะสมคนเจ็บ-คนตายเป็นสถิติไปทีละวันอย่างนี้ไม่ได้
ทหาร-ตำรวจ ควรเข้าสลายทันที!
สถานการณ์ถึงตอนนี้ ในภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า "เสียจนไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว" ฉะนั้น จะมารีรออะไร เสีย-เมื่อแลกกับได้ที่ไม่เยิ่นเย้อ มันก็พอคุ้มมิใช่หรือ?
ที่ว่าเสียนั้น ไม่ใช่พวกกบฏ หรือตัวหัวหน้ากบฏที่นั่งกระดิกตีน "ต่อสาย-สั่งการ" มาจากมอนเตเนโกรบ้าง ดูไบบ้างที่เสีย แต่เป็น "ประเทศไทย-คนไทย" ตะหาก ประเทศป่นปี้ หัวใจถูกย่ำยีแหลกสลาย นับต่อแต่นี้ไทยจะเป็นไทยที่...ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
สังเกตดูเถอะ แต่ละมุก-แต่ละเม็ดในการต่อรองของพวกกบฏ ถูกกำหนดและสั่งมาจากนายใหญ่ทั้งสิ้น อย่างที่เดินเกม-เดินแต้มประสานกันล่าสุดตอนนี้ ทั้งคนกบฏ ทั้งพรรคกบฏ และทั้งนักวิชาการกบฏ เดินไปในแผนเดียว-จุดเดียวกัน คือ
ดึง UN ให้เป็นเจ้าเข้าครองประเทศ!
UN ที่ทักษิณเคยบอกว่า "ไม่ใช่พ่อ" นั่นแหละ แต่ตอนนี้ นับถือเป็นพ่อขึ้นมาแล้ว สั่งให้จตุพร-ณัฐวุฒิ ปากแข็ง-ตูดนิ่มยืนกรานกับฝ่ายรัฐบาลอยู่นั่นแหละว่า "ยอมเจรจา แต่ว่าต้องให้ UN เข้ามาเป็นคนกลาง"
ไอ้คนอย่างนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ใครซื้อก็พร้อมขาย ก็ดูซี...ขนาดประเทศชาติแท้ๆ เพื่อตัวมัน มันบังอาจ ไม่ละอาย เอาประเทศไปขายให้ UN หน้าตาเฉย!
ไอ้แผนดึง UN เข้ามา ก็คงจากคำแนะนำพวกบริษัททนาย บริษัทที่ปรึกษาทักษิณในต่างประเทศนั่นแหละ เป็นการเบิกช่องทาง-สร้างเงื่อนไขเพื่อการต่อสู้คดี เพราะมีแต่ช่อง UN ช่องเดียวเท่านั้นที่โลกใบนี้จะเหลือ "รูลอด" ให้ทักษิณได้ซุกหัวอยู่ เนื่องจากยุค "สื่อสารครองโลก" ขณะนี้ เจ้าระบบสื่อสารที่ตัวเองใช้เป็นเครื่องมือทำลายประเทศชาตินั่นแหละ มันกำลังย้อนสนองตัวเอง
ทักษิณ ชินวัตร สู่ระดับ บิน ลาดิน แล้ว!
ก็ด้วยจาก "สื่อสารครองโลก" เหตุการณ์ที่เกิด คำพูดผ่านวิดีโอลิงค์-โฟนอิน และคำให้การสมุนในเมืองไทย โดยเฉพาะจากเสธ.แดง ระบบสื่อสาร มันทำให้คนดู-คนฟัง ประมวลเรื่องและรวบรวมให้เห็นภาพได้ว่า
ทักษิณนั่นแหละ "หัวหน้าก่อการร้ายในไทย"!?
ที่ยกตัวเองไปเทียบ เนลสัน แมนเดลา บ้าง มหาตมะ คานธี บ้างนั้น คนทั้งโลกฟังแล้วหัวเราะ และ...ถุ้ย!
ลองเรียบเรียงดู หลังเหตุการณ์กบฏแผ่นดิน มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซุ่มสังหารนายทหาร วินาศกรรมเมือง กระทั่งยิงเอ็ม ๗๙ หวังระเบิดคลังน้ำมัน
ล่าสุด จากปากของ "พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล" ที่ประกาศเมื่อ ๙-๑๐ พ.ค.ก่อนถูก "มือลึกลับ" ใกล้ตัว ประกบจ่อยิงศีรษะเสียชีวิตทิ้งปริศนา "ใครสั่งฆ่า" คนไกล...หรือใกล้ตัว
เสธ.แดงประกาศ ไม่เอาแผนปรอง ค้านวีระเจรจาสลายชุมนุมกับรัฐบาล แล้วตัวเองประกาศ ประสานแกนนำกบฏในต่างจังหวัด จะยึดเวทีเป็นหัวหน้าแกนนำชุมนุมต่อ
....ผมรับคำสั่งตรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว!?
บทบาทคลุมเครือเสธ.แดงที่ให้ภาพพัวพันทั้ง "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" และทั้งภาพเปิดเผย "หัวหน้าการ์ด นปช." รวมถึงผู้ฝึกสอนกองกำลังทหารเสือพระเจ้าตาก ในรอบ ๒-๓ ปี เมื่อถูกประชาคมโลกนำแต่ละภาพมาเป็นจิ๊กซอว์ ก็พอดีมาบรรจบกับคำสารภาพสุดท้ายของเสธ.แดงเองว่า "ทำงานรับคำสั่งตรงจากทักษิณ"
ภาพ "ทักษิณ-หัวหน้าก่อการร้าย" ที่ชักใยปฏิบัติการอยู่ในเมืองไทย...ชัดเป๊ะ!
ยิ่ง ศอฉ.ออกมาประกาศว่า เหตุการณ์ในเมืองไทยประจักษ์ชัดว่ามี "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" คละเคล้าอยู่กับผู้ชุมนุมสันติ-อหิงสาจริง และการก่อวินาศกรรม การซุ่มสังหารนายทหาร การวินาศกรรม และปฏิบัติการต่อต้านกำลังรัฐ นี่..มันครบ "องค์ประกอบ" ของการเป็นปฏิบัติการ "ผู้ก่อการร้าย" ชัดแจ้ง!
และนั่นก็คือ "ทักษิณ-หัวหน้าก่อการร้าย" เทียบชั้น บิน ลาดิน แต่ชั้นเลวกว่า บิน ลาดิน ก็ตรงที่ บิน ลาดิน ทำลายที่อื่น-คนอื่น-ประเทศอื่น ไม่ทำลาย และไม่ทำร้ายประเทศตัวเอง พี่น้องร่วมชาติตัวเอง ซึ่งเป็นหน้ามือกับหลังเท้า เพราะ....
ทักษิณ...ทำทุกอย่างที่ "บิน ลาดิน" ไม่ทำกับชาติของเขา!
ด้วยภาพ "หัวหน้าขบวนการก่อการร้าย-ชั้นเลว" ของทักษิณ อันประจักษ์ต่อชาวโลกเวลานี้ จึงทำให้พื้นที่ในการหยั่งเท้าของทักษิณเหลือน้อยเต็มทน และเท่าที่มีให้ยืน ก็ต้องยืนแบบเขย่งเท้า-แขม่วท้อง ถูกห้ามใช้พื้นที่ประเทศนั้นๆ เป็น "ฐานบัญชาการ" ก่อการร้ายข้ามชาติ
การให้พรรคเพื่อไทย ส.ส.เพื่อไทย และแกนนำกบฏ ประสานเสียง-ชูประเด็น ให้ UN เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ ก็คือแผนการดึง UN มาเป็นขอนไม้ให้เกาะเท่านั้น เมื่อเหลือตาเดินไม่มาก ตัวเองก็...หางโผล่ โดยให้บริษัทที่ปรึกษากฎหมายในต่างประเทศออกแถลงการณ์ "ประสานเสียง" กับกลุ่มกบฏเมื่อวานนี้ (๑๗ พ.ค.๕๓) มีข้อความว่า
"ผมขอเรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจาในทันที สหประชาชาติไม่ควรถูกกดดันให้นิ่งเฉย โดยนายกรัฐมนตรีที่ไม่เข้าใจว่าสิทธิในการมีชีวิตอยู่เป็นหลักสากลที่ทำให้พวกเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน"
ความจริงน่ะ ถ้าทักษิณต้องการร้องขอความช่วยเหลือกับองค์กรระหว่างประเทศ ด้วยความหวังดีกับคนไทย-ประเทศไทยจริงๆ ละก็ ควรไปร้องกับ "มูลนิธิแก้ไขปัญหาโลกร้อน" จะถูกที่-ถูกทางมากกว่า เพราะสิ่งที่พวกกบฏทักษิณทำขณะนี้คือการเผายางรถยนต์ นั้น มันสร้างควันดำเป็นมลพิษคลุมโลกมา ๓-๔ วันแล้ว
ผมไม่เข้าใจ พวก ส.ส.-ส.ว. พวกนักวิชาการบางคน กระทั่งพวก "ผีผสมแดก" ในพรรคร่วมบางพรรคก็ดี เรียกร้องแต่ว่า รัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ อย่าใช้ความรุนแรง ให้รัฐบาลใช้วิธีเจรจา กระทั่งว่า ให้รัฐบาลยุบสภา-ลาออกไปเลย แล้วปัญหาจะจบ
ทำไมไม่มองถึงต้นเหตุล่ะว่า ใครคือตัวสร้างปัญหา และใครคือฝ่ายใช้ความรุนแรง และทำไมไม่พูด-ไม่บอกล่ะว่า "ต้นปัญหาคือพวกกบฏนั่นแหละ ควรสลายการชุมนุมที่เกินกรอบกฎหมาย สั่งให้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายหยุดเผาเมือง แล้วมานั่งโต๊ะเจรจากับรัฐบาลที่เขารออยู่?"
จากข้อมูลข่าวสาร เบื้องหน้า-เบื้องหลัง และเบื้องลับ ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่ค่อยๆ ไหลออกสู่สาธารณะในยุค "สื่อสารครองโลก" ขณะนี้ มันยิ่งสนับสนุนความคลางแคลงสงสัยที่ซ่อนอยู่ในใจสังคมมานานให้ชัดขึ้นว่า ในขบวนการก่อการร้าย อันมีคำว่า "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" เป็นตัวลงมือนั้น
รูปแบบปฏิบัติการมันฟ้องว่า นี่คือการสนธิกันระหว่าง "ตำรวจ-ทหารในราชการ กับ ตำรวจ-ทหารนอกราชการ" กลุ่มหนึ่ง!?
จะกลุ่มไหน-ใครเป็นใคร น่าจะไปค้น "คำสั่ง ศอฉ." ที่ ๔๙/๒๕๕๓ ที่ออกเมื่อวันที่ ๑๖ พ.ค.เรื่อง "ตัดท่อน้ำเลี้ยง" สั่ง ๑๐๖ คน ต้องรายงานการทำธุรกรรมทางการเงินมาดูว่า...มีใครบ้าง?
และที่ควรสังเกตไว้ คำสั่ง "ตัดท่อน้ำเลี้ยงกบฏ" คำสั่งนี้ คนที่ลงนามท้ายคำสั่งคือ..."พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา" หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน!!!!!
ครับ...ต้องถือว่าเป็นคำสั่งที่กรวดน้ำคว่ำขัน "ผีไม่เผา-เงาไม่เหยียบ" ตัดเป็นตัดตายกันไปเด็ดขาด ระหว่างเส้นทางสาย "ทักษิณ" กับเส้นทางสาย "อนุพงษ์"
จะพูดว่า นี่คือการชี้ขาด "ชีวิตทหาร-ชีวิตการเมือง-ชีวิตคนแก่หลังเกษียณ" ว่า พลเอกอนุพงษ์ ตัดสินใจเลือก "ทางไหน-เป็นทางเดิน" หลังเดือนกันยายน ๒๕๕๓ เป็นต้นไป นี่มันก็....ชัดเจนแล้ว!
"หลังเสือ" จำต้องเป็นที่อยู่ "หลังเกษียณ" ของพลเอกอนุพงษ์
"ยากหนี" เสียแล้ว!?

Read more...

"จรัล"รับ"ม็อบแดง"รับเงิน"เจ๊หน่อย -แม้ว" จ้างการ์ด-ให้ นศ. ไม่สนถูกอายัดยังมีเงินบริจาครายวัน

เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 17 พ.ค. นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ( นปช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน( ศอฉ.) มีคำสั่งระงับการทำธุรกรรมการเงิน และทรัพย์สิน ของบุคคลและนิติบุคคล 106 รายว่า ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และคิดว่าเป็นความต้องการของรัฐบาล ที่ต้องการจะตัดท่อน้ำเลี้ยงการชุมนุม แต่ไม่มีความวิตกกังวลอะไร และไม่คิดว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อการชุมนุม เพราะยังมีเงินบริจาคที่แต่ละวัน จากบุคคลทั่วไปที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ และการสนับสนุนเงินที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มากถึงหลักล้านบาท น่าจะแค่หลักหมื่นหรือแสนบาทเท่านั้นเอง


นายจรัลกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของศอฉ. ดังกล่าวแม้จะมีอำนาจพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินรองรับ และเมื่อมีการประกาศยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แล้ว อำนาจเรื่องนี้ก็จะหมดไป แต่ก็น่าจะเป็นการกระทำที่เกินอำนาจ เป็นการละเมิดสิทธิบุคคลด้านทรัพย์สิน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้มีโอกาสหารือร่วมกับแกนนำ นปช. หลายคน ที่ถูกระงับการทำธุรกรรมทางการเงิน และเห็นร่วมกันที่จะนำพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาศึกษาในรายละเอียด หากพบว่ามีช่องที่อุทธรณ์คำสั่งได้ก็จะดำเนินการทันที แต่หลายคนก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไร บางคนยังมีการนำเรื่องนี้ ไปแซวกันหลายก็มี และแกนนำบางคน บัญชีก็ยังติดโอดี หรือตัวแดงก็มี


“ผมยอมรับว่า การชุมนุมครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ อดีตนักการเมือง อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือแม้กระทั่งตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปฎิเสธไม่ได้ ส่วนจะให้มากน้อยเท่าไรผมไม่ทราบรายละเอียด เพราะการชุมนุมมันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายบ้าง ขนาดตัวผมเอง ยังต้องนำเงินส่วนตัวมาใช้จ่ายด้วย ไม่ว่าจะเป็นการว่าจ้างการ์ดหนึ่งคน หรือให้การสนับสนุนนักศึกษาที่เข้ามาร่วมชุมนุม ซึ่งก็ไม่ได้เงินมากอะไร มีเงินเก็บจากการเป็นอาจารย์สอนหนังสือไม่กี่บาทเท่านั้น ส่วนแกนนำทั่วประเทศ ก็ทราบแต่ละคนก็นำเงินส่วนตัวมาใช้จ่าย แต่ละคนก็หมดเงินไปมาก บางรายเกือบล้านบาทก็มี” นายจรัลกล่าว


นายจรัล กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีการสลายการชุมนุมเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าจะมีอย่างช้าที่สุดไม่น่าจะเกินวันพรุ่งนี้ ส่วนการเจรจาที่เกิดขึ้น หากรัฐบาล ยอมรับข้อเสนอเรื่องการหยุดยิง และถอดกำลังออกไป ก็มีการเตรียมการไว้หลายเรื่องแล้ว และน่าจะเป็นทางออกสำหรับประเทศไทย ในการยุติความรุนแรง และนำประเทศไปสู่สันติ


“ยังไม่ทราบว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร แต่แกนนปช. กำลังพยายามที่จะเจรจาอยู่ ทั้งกับตัวแทนรัฐบาล หรือแม้กระทั่งคนในกองทัพเอง ซึ่งเรื่องของกองทัพ ก็เป็นภารกิจส่วนหนึ่งที่นายวีระ สมความคิด กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ด้วย ซึ่งหากรัฐบาลสั่งหยุดยิงเมื่อไร แกนนำ ก็จะเรียกตัวผู้ชุมนุมต้องจุดที่มีการปะทะกลับมาร่วมตัวที่สี่แยกราชประสงค์ทันที ส่วนเหตุผลที่รัฐบาลไม่กล้าที่จะใช้กำลังเข้ามาสลายการชุมนุม ก่อนหน้านี้ ก็มาจากปัจจัยสำคัญหลายประการ อาทิ ทหารไม่ต้องการที่จะใช้กำลังมาสลายการชุมนุม ความเกรงกลัวเรื่องกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย และที่สำคัญบริเวณนี้เป็นย่านธุรกิจมีห้างร้านสำคัญจำนวนมาก หากมีการสลายอาจจะถูกเผาทำลายได้ รัฐบาลจึงไม่กล้าที่จะสูญเสีย และหันไปใช้วิธีการสไนเปอร์ ยิงประชาชน ซึ่งได้ผลดีมากกว่า เพราะทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนกลัว ไม่กล้าที่จะมาเข้าร่วมการชุมนุมเหมือนเดิม

Read more...

ประวัติ เสธแดง


ขัตติยะ สวัสดิผล
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
บทความนี้ขาดหรือต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิง เพื่อให้พิสูจน์ยืนยันได้ถึงที่มาและความน่าเชื่อถือ คุณสามารถพัฒนาบทความนี้ได้โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงตามสมควร เนื้อหาที่ขาดแหล่งอ้างอิงอาจถูกลบออก

ขัตติยะ สวัสดิผล
พลตรี ดร. ขัตติยะ สวัสดิผล
ข้อมูลส่วนตัววันเกิด 2 มิถุนายน พ.ศ. 2494
ที่เกิด อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
วันตาย 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 (อายุ 58 ปี)
ที่ตาย โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพ
รายละเอียด[ซ่อน]งาน-อาชีพ ทหารไทย
ผู้ทรงคุณวุฒิกองท้พบก

คู่สมรส นาวาเอก (พิเศษ) หญิง จันทรา สวัสดิผล
บุตร นางสาวขัตติยา สวัสดิผล
การศึกษา ปริญญาเอก สาขาบริหารรัฐกิจ University of Northern Philippines
เว็บไซต์ http://www.sae-dang.com/
พลตรี ดร.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ เสธ.แดง (2 มิถุนายน พ.ศ. 2494 — 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553[1]) เป็นทหารบกชาวไทย เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเมื่อมีคดีความการรื้อบาร์เบียร์ย่านซอยสุขุมวิท 10 และถูก พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่กล่าวหาว่า พล.ต.อ.สันต์ มีพฤติกรรมในการใช้อำนาจโดยมิชอบและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งทุจริตการจัดซื้อ-จัดจ้าง การทำสำนวนคดีรื้อถอนบาร์เบียร์ที่มีพฤติการณ์ช่วยเหลือนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และเป็นผู้มีส่วนร่วมในการอุ้มนายชูวิทย์จากโรงแรมดิเอมเมอรัลด์ รัชดาภิเษก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียน "หนังสือ คม...เสธ.แดง" ขึ้น อันเป็นหนังสืออัตชีวประวัติและรวบรวมความคิดคำพูดของ พล.ต.ขัตติยะ เอง

เนื้อหา [ซ่อน]
1 ประวัติ
1.1 รับราชการ
2 บทบาททางการเมือง
3 เหตุการณ์ลอบสังหาร
4 เครื่องราชอิสริยาภรณ์
5 อ้างอิง
6 แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้] ประวัติ
พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล เป็นชาวอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เป็นบุตรชายคนสุดท้องของ ร.อ.สนิท สวัสดิผล และนางสอิ้ง สวัสดิผล จากจำนวนพี่น้อง 4 คนซึ่งเป็นหญิง 3 คนและชาย 1 คน

จบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนศรีวิกรม์ การศึกษาด้านการทหาร จบโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 11, โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 22 และโรงเรียนเสนาธิการทหารบก รุ่นที่ 63 ได้เรียนต่อปริญญาตรี ครุศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำเร็จการศึกษาปี 2528 ปริญญาโท คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สำเร็จการศึกษาปี 2539 ปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม สำเร็จการศึกษาปี 2545 ปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง สำเร็จการศึกษาปี 2547 และจบปริญญาเอก สาขาบริหารรัฐกิจ University of Northern Philippines สำเร็จการศึกษาปี 2551

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล สมรสกับ นาวาเอก (พิเศษ) หญิง จันทรา สวัสดิผล (เสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็ง) มีบุตรสาวด้วยกันทั้งหมด 1 คน ชื่อ นางสาวขัตติยา สวัสดิผล (ชื่อเล่น: เดียร์) ปัจจุบันทำงานเป็นทนายความในสำนักกฎหมายเอกชน

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล มีเว็บไซต์ของตนเอง ที่วิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันอย่างดุเดือด โดยบุคคลที่ชื่นชอบจะเรียกชื่อ พล.ต.ขัตติยะ อย่างเคารพว่า "อาแดง"

[แก้] รับราชการ
พล.ต.ขัตติยะ เข้ารับราชการครั้งแรกในกองพันทหารราบที่ 4 ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี และเติบโตมาในสายทหารม้า เคยได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายทหารพิเศษ ประจำกองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ เมื่อปี 2543 เคยเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในช่วงปี 2529 เป็นนายทหารติดตามของ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก รองนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และเคยเป็นนายทหารคนสนิทของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก

[แก้] บทบาททางการเมือง
บทความนี้อาจต้องปรับปรุงเพื่อให้มีมุมมองที่เป็นกลาง เนื่องจากเนื้อหานำเสนอมุมมองเพียงด้านเดียว ทำให้เกิดความเอนเอียงของข้อมูล คุณสามารถเพิ่มมุมมองอื่นพร้อมกับเพิ่มอ้างอิงแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือ หรือร่วมอภิปรายสรุปแนวทางแก้ปัญหา โปรดอย่านำป้ายออกจนกว่าการอภิปรายจะได้ข้อสรุป

ในทางการเมืองในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 พล.ต.ขัตติยะ ก็ได้แสดงบทบาทของตนเองออกมา ในตอนแรกได้วิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลายต่อหลายครั้งเรื่องปัญหาการฆ่าตัดตอนในสงครามกวาล้างยาเสพติด ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และการปล้นปืนขึ้น ซึ่งพล.ต.ขัตติยะเห็นว่าไม่ถูกต้อง ในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อ พ.ศ. 2551 การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เข้ายึดทำเนียบรัฐบาล พล.ต.ขัตติยะก็ได้ไปปรากฏตัว ณ ที่ชุมนุมด้วยโดยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าเช้ามาสังเกตการณ์ แต่ต่อมาไม่นาน พล.ต.ขัตติยะก็ได้เปลี่ยนท่าทีใหม่โดยสิ้นเชิง ได้แสดงท่าทีและวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มพันธมิตรฯ ที่นำประเด็นเขาพระวิหารมาเป็นประเด็นทางการเมือง ทำให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ ซึ่งกลุ่มพันธมิตรได้วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกนิ่งเฉยในประเด็นเขาพระวิหาร โดยพล.ต.ขัตติยะ ในช่วงแรกได้ออกมาปกป้องทั้งในเรื่องประเด็นทุจริตรถเกราะยูเครน 8 ล้อ และประเด็นเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งพล.ต.ขัตติยะออกมาโต้แทนว่า พล.อ.อนุพงษ์ ท่านหน่อมแน้ม จึงโดนตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ซึ่งผลการสอบไม่มีความผิดแต่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา ในเหตุการณ์ยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง

พล.ต.ขัตติยะได้วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะ ศอฉ. อีกครั้งว่าปล่อยให้พันธมิตรยึดสนามบินไม่ยอมนำกำลังออกมาช่วยรัฐบาลตามที่มีคำสั่งจาก นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในการปราบปรามกลุ่มพันธมิตร นอกจากนี้ยังนำผู้นำเหล่าทัพไปให้สัมภาษณ์ช่อง 3 ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ บอกให้ นาย สมชาย วงษ์สวัสดิ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยหลังจากจุดๆนี้เป็นต้นไป พล.ต.ขัตติยะได้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกลุ่มพันธมิตรและพล.อ.อนุพงษ์ จนกระทั่งถูกคำสั่งพักราชการในเดือนมกราคม 2553 ในข้อหาวิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา ซึ่ง พล.ต.ขัตติยะ ไม่ยอมรับ โดยอ้างว่ากองทัพไม่มีอำนาจในการสั่งพักราชการตน เนื่องจากตนเป็นถึงนายทหารระดับนายพล[2]

ต่อมา พล.ต.ขัตติยะก็ได้ประกาศตัวว่าเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ และตระเวนไปปราศรัยที่เวทีคนเสื้อแดงทั่วประเทศ และประกาศตัวว่าถ้าสามเกลอพลาดจะขึ้นเป็นแกนนำแทนด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ต่อมา ได้ทำให้นายทหารระดับสูงในหลายส่วนของกองทัพบกได้ออกมาวิจารณ์การกระทำของ พล.ต.ขัตติยะ ถึงความเหมาะสมรวมทั้งได้แสดงออกถึงการร่วมใจปกป้องศักดิ์ศรีของกองทัพด้วย[3]

ในทางการเมือง พล.ต.ขัตติยะ ได้มีแนวคิดจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ในชื่อ พรรคเสธ.แดง เพื่อลงเลือกตั้งในปลายปี 2550 โดยมีจุดมุ่งหมายคือ แยกอำนาจสอบสวนออกจากตำรวจและตั้งหน่วยงานอิสระขึ้นมาดูแลแทน โดยตำรวจมีหน้าที่จับกุมและส่งตัวมาให้หน่วยงานสอบสวน แต่ไม่ได้รับการรับรองให้จดทะเบียนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. โดยนางสดศรี สัตยะรรม ให้เหตุผลว่าเป็นชื่อบุคคลไม่สามารถนำมาตั้งชื่อพรรคได้ โดยส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ โดยเรื่องชื่อพรรคนี้เรื่องค้างอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ 2 ปีเต็มไม่มีความคืบหน้า เพราะมีเรื่องเร่งด่วนรอให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอีกหลายเรื่อง จึงขอถอนเรื่องออกมาและมาจัดตั้งใหม่ ในนามว่า พรรคขัตติยะธรรม ซึ่งแปลว่า ธรรมของพระราชา

[แก้] เหตุการณ์ลอบสังหาร
พล.ต.ขัตติยะได้ถูกลอบยิงระหว่างการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศในฐานะหัวหน้าการ์ดของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติที่สวนลุมพินี บริเวณแยกศาลาแดง เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. ของวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 โดยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกกระสุนเข้าที่ศีรษะด้านขวาทะลุท้ายทอย กลุ่มคนเสื้อแดงได้นำตัวส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว[4] และได้ย้ายไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลในกลางดึกของวันเดียวกัน โดยทางแพทย์ผู้ให้การรักษาได้ให้เหตุผลว่าทางวชิรพยาบาลมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เพียบพร้อมกว่า[5] อาการของ พล.ต. ขัตติยะ อยู่ในสภาพทรงตัวมาตลอดจนกระทั่ง พล.ต. ขัตติยะ เสียชีวิตด้วยภาวะไตวายเฉียบพลันเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09.20 น.[1]

[แก้] เครื่องราชอิสริยาภรณ์
ประถมาภรณ์มงกุฎไทย 5 ธ.ค. 2542
ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก 25 ธ.ค. 2539
[แก้] อ้างอิง
1.^ 1.0 1.1 ปิดตำนาน เสธ.แดง เสียชีวิตอย่างสงบ. ไทยรัฐออนไลน์ (17 พฤษภาคม 2553). สืบค้นวันที่ 17 พฤษภาคม 2553
2.^ เสธ.แดงฉุนถูกพักราชการ
3.^ ผบ.17กองพันอัดเสธ.แดง
4.^ หาม"เสธ.แดง"ส่งร.พ.. กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (13 พฤษภาคม 2553). สืบค้นวันที่ 13 พฤษภาคม 2553
5.^ ย้ายเสธ.แดงมารักษาตัวที่วชิรพยาบาล. กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (13 พฤษภาคม 2553). สืบค้นวันที่ 13 พฤษภาคม 2553
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
เว็บไซต์ส่วนตัวของ พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล
[ซ่อน]ด • พ • กแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

แกนนำหลัก วีระ มุสิกพงศ์ · ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ · จตุพร พรหมพันธุ์ · มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ · เหวง โตจิราการ · อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง · ชินวัฒน์ หาบุญพาด

แกนนำคนอื่น ๆ ก่อแก้ว พิกุลทอง · สันต์ หัตถีรัตน์ · ประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ · สุภรณ์ อัตถาวงศ์ · อดิศร เพียงเกษ · จรัล ดิษฐาอภิชัย · รองศาสตราจารย์วรพล พรหมิกบุตร · พายัพ ปั้นเกตุ · วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย · วรวุฒิ วิชัยดิษฐ · ขวัญชัย ไพรพนา · สมชาย ไพบูลย์ · ณรงค์ศักดิ์ มะณี · เจ๋ง ดอกจิก

อดีตแกนนำ อภิวันท์ วิริยะชัย · จักรภพ เพ็ญแข · สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ · สมบัติ บุญงามอนงค์ · สุชาติ นาคบางไทร · สมยศ พฤกษาเกษมสุข · ชูพงศ์ ถี่ถ้วน · ขัตติยะ สวัสดิผล · สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน · ผู้ช่วยศาสตราจารย์เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์

ทนายความ คารม พลทะกลาง · คำนวณ ชโลปถัมภ์

กลุ่มแนวร่วม เครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร · กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ · กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย
ชมรมคนรักอุดร · กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 · กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยเชียงราย · กลุ่มพิราบขาว · มวลชนคนเสื้อแดง (เลือดใหม่)

ผู้เป็นแนวร่วม
ที่มีชื่อเสียง การเมือง ทักษิณ ชินวัตร · สมัคร สุนทรเวช · สมชาย วงศ์สวัสดิ์ · จาตุรนต์ ฉายแสง · พงศ์เทพ เทพกาญจนา · นพดล ปัทมะ · สุนัย จุลพงศธร · ประชา ประสพดี · การุณ โหสกุล · วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ · วิบูลย์ แช่มชื่น · ลัดดาวัลย์ วงศ์ศรีวงศ์ · พ.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก· ปลอดประสพ สุรัสวดี· ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง· สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล · พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ · สุชาติ ธาดาธำรงเวช · ยงยุทธ ติยะไพรัช· นิสิต สินธุไพร·อดิศร เพียงเกศ· น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ · สุชน ชาลีเครือ
กวี/นักร้อง/
นักแสดง วิสา คัญทัพ · ไพจิตร อักษรณรงค์ · จิ้น กรรมาชน · คำสิงห์ ศรีนอก · โฉมฉาย อรุณฉาน · วันชนะ เกิดดี · ทอม ดันดี · เมธี อมรวุฒิกุล · อรรถชัย อนันตเมฆ · สมบัติ เมทะนี · ฤทธิ์ลือชา คุ้มแพรวพรรณ
สื่อมวลชน ณัฏฐกรณ์ เทวกุล · จักรพันธุ์ ยมจินดา · ศันสนีย์ นาคพงศ์ · ศุภรัตน์ นาคบุญนำ · จิรายุ ห่วงทรัพย์ · อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด· จอม เพชรประดับ
ต่างประเทศ ฌอน บุญประคอง · ศิริวรรณ นิมิตรศิลป์
นักธุรกิจ สงคราม เลิศกิจไพโรจน์ · สมหวัง อัสราษี · ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
อื่น ๆ ดารุณี กฤตบุญญาลัย · ลักษณ์ เรขานิเทศ · รัตนพล ส.วรพิน· ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล · พร้อมพงษ์ นพฤทธิ์
นักวิชาการ รองศาสตราจารย์สุนีย์ สินธุเดชะ · ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ · รองศาสตราจารย์ใจ อึ้งภากรณ์ · ผู้ช่วยศาสตราจารย์จารุพรรณ กุลดิลก· ศาสตราจารย์บุญทัน ดอกไธสง


เหตุการณ์สำคัญ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 · เหตุการณ์ชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ พ.ศ. 2550 · เหตุปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551 · เหตุการณ์ไม่สงบในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 · การชุมนุม พ.ศ. 2553

Read more...

About This Blog

  © Blogger template The Beach by Ourblogtemplates.com 2009

Back to TOP